สินค้า
ไม้พื้นคืออะไร และความสำคัญของการใช้ไม้พื้น
ไม้พื้น เป็นวัสดุที่นิยมใช้ในการปูพื้นบ้านมานานหลายศตวรรษ ด้วยความงดงามที่เป็นธรรมชาติ และความอบอุ่นที่มอบให้กับพื้นที่ในบ้าน ไม้พื้นไม่เพียงแต่มีความสวยงาม แต่ยังมีคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความคุ้มค่าให้กับที่อยู่อาศัย[1]
ไม้พื้นคืออะไร?
ไม้พื้น คือวัสดุปูพื้นที่ผลิตจากไม้ธรรมชาติหรือวัสดุที่เลียนแบบไม้ เช่น ไม้เนื้อแข็ง (Hardwood) ไม้เนื้ออ่อน (Softwood) หรือวัสดุสังเคราะห์ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับไม้ โดยไม้พื้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่:
ไม้พื้นแท้ (Solid Wood Flooring): ผลิตจากไม้จริงทั้งแผ่น มีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์และให้ความทนทานสูง
ไม้พื้นสำเร็จรูป (Engineered Wood Flooring): ผลิตจากการผสมผสานวัสดุไม้และสารสังเคราะห์ ให้ความแข็งแรงและดูแลรักษาง่าย
ความสำคัญของการใช้ไม้พื้น
1. ความสวยงามที่เป็นธรรมชาติ
ไม้พื้นมีลวดลายและสีสันที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งช่วยเพิ่มความอบอุ่นและความหรูหราให้กับบ้าน
2. สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น
พื้นไม้ช่วยลดความแข็งกระด้างของพื้นที่ และช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เหมาะสำหรับทุกห้องในบ้าน
3. ความทนทานและอายุการใช้งานที่ยาวนาน
ไม้พื้นแท้สามารถใช้งานได้หลายสิบปี หากมีการดูแลรักษาที่ดี เช่น การขัดพื้นและเคลือบเงา
4. เพิ่มมูลค่าให้กับบ้าน
บ้านที่ใช้ไม้พื้นมักมีราคาขายต่อที่สูงกว่า เพราะไม้พื้นเป็นวัสดุที่สะท้อนถึงความหรูหราและคุณภาพ
5. เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ไม้พื้นที่มาจากไม้ธรรมชาติมักเป็นวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ และไม่ก่อให้เกิดสารพิษที่เป็นอันตราย
การใช้ ไม้พื้น ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความสวยงามและอบอุ่นให้กับบ้าน แต่ยังมีความสำคัญในด้านความทนทาน การเพิ่มมูลค่า และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม้พื้นเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบ้านที่ดูดี มีเอกลักษณ์ และมีคุณภาพ[1]
ประเภทของไม้พื้น
ไม้พื้น เป็นหนึ่งในวัสดุปูพื้นที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีความสวยงามที่เป็นธรรมชาติและเพิ่มความอบอุ่นให้กับพื้นที่ในบ้าน อย่างไรก็ตาม ไม้พื้นมีหลากหลายประเภทที่เหมาะสมกับการใช้งานแตกต่างกัน บทความนี้จะพาคุณมาทำความรู้จักกับประเภทของไม้พื้น พร้อมเคล็ดลับการเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับความต้องการ
ประเภทของไม้พื้น
1. ไม้พื้นแท้ (Solid Wood Flooring)
ลักษณะเด่น: ทำจากไม้ธรรมชาติทั้งแผ่น เช่น ไม้สัก ไม้มะค่า หรือไม้แดง
ข้อดี:
มีความแข็งแรงและทนทาน
สามารถขัดและเคลือบเงาเพื่อคืนสภาพใหม่ได้
ข้อควรระวัง: ราคาสูงและต้องการการดูแลรักษาอย่างดี
2. ไม้พื้นสำเร็จรูป (Engineered Wood Flooring)
ลักษณะเด่น: ผลิตจากชั้นของไม้ธรรมชาติผสมกับวัสดุสังเคราะห์
ข้อดี:
ทนต่อความชื้นได้ดีกว่าไม้แท้
ราคาประหยัดกว่าไม้พื้นแท้
ข้อควรระวัง: อายุการใช้งานอาจสั้นกว่าไม้แท้
3. ไม้พื้นลามิเนต (Laminate Flooring)
ลักษณะเด่น: วัสดุสังเคราะห์ที่เลียนแบบลวดลายไม้จริง
ข้อดี:
ติดตั้งง่าย
ราคาไม่แพง
ทนต่อรอยขีดข่วน
ข้อควรระวัง: ไม่เหมาะกับพื้นที่เปียกหรือชื้น
4. ไม้พื้น WPC (Wood Plastic Composite)
ลักษณะเด่น: วัสดุผสมระหว่างไม้และพลาสติก
ข้อดี:
ทนทานต่อสภาพอากาศและน้ำ
เหมาะสำหรับพื้นที่ภายนอก
ข้อควรระวัง: มีลวดลายที่อาจไม่เหมือนไม้ธรรมชาติ 100%
5. ไม้ไผ่พื้น (Bamboo Flooring)
ลักษณะเด่น: ทำจากไม้ไผ่ที่ผ่านกระบวนการอัดแน่น
ข้อดี:
เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
แข็งแรงและราคาย่อมเยา
ข้อควรระวัง: ต้องระวังความชื้นและการบิดงอ
ไม้พื้น มีหลากหลายประเภทที่เหมาะกับการใช้งานในแต่ละพื้นที่ การเลือกไม้พื้นที่เหมาะสมจะช่วยให้บ้านของคุณมีความสวยงาม ทนทาน และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ไม้พื้นแท้ vs ไม้พื้นเทียม ข้อดีและข้อเสีย
ไม้พื้น เป็นวัสดุปูพื้นที่ได้รับความนิยมในงานตกแต่งบ้านมาช้านาน โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ ไม้พื้นแท้ และ ไม้พื้นเทียม ซึ่งแต่ละประเภทมีคุณสมบัติ ข้อดี และข้อเสียที่แตกต่างกัน ในบทความนี้เราจะเปรียบเทียบทั้งสองประเภทเพื่อช่วยให้คุณเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสม[2]
ไม้พื้นแท้ (Solid Wood Flooring)
ลักษณะของไม้พื้นแท้
ไม้พื้นแท้ผลิตจากไม้ธรรมชาติทั้งแผ่น เช่น ไม้สัก ไม้มะค่า หรือไม้แดง มีลวดลายและสีสันที่เป็นเอกลักษณ์
ข้อดีของไม้พื้นแท้
ความสวยงามที่เป็นธรรมชาติ: ลวดลายและสีสันของไม้แท้ช่วยเพิ่มความอบอุ่นและหรูหราให้กับบ้าน
ความทนทานสูง: ไม้พื้นแท้มีอายุการใช้งานยาวนาน สามารถขัดและเคลือบเงาเพื่อคืนสภาพใหม่ได้
เพิ่มมูลค่าให้กับบ้าน: บ้านที่ใช้ไม้พื้นแท้มักมีราคาขายต่อที่สูงกว่า
ข้อเสียของไม้พื้นแท้
ราคาสูง: ไม้พื้นแท้มีราคาสูงกว่าไม้พื้นเทียม
ต้องการการดูแลรักษา: ต้องป้องกันความชื้นและปลวกอย่างดี
ติดตั้งยาก: การติดตั้งต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ
ไม้พื้นเทียม (Engineered Wood Flooring และ Laminate Flooring)
ลักษณะของไม้พื้นเทียม
ไม้พื้นเทียมผลิตจากวัสดุสังเคราะห์ เช่น ไม้สำเร็จรูป (Engineered Wood) หรือไม้ลามิเนต (Laminate Flooring) โดยเลียนแบบลวดลายไม้ธรรมชาติ
ข้อดีของไม้พื้นเทียม
ราคาย่อมเยา: เหมาะสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด
ติดตั้งง่าย: สามารถติดตั้งได้รวดเร็วโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือซับซ้อน
ดูแลรักษาง่าย: ทนต่อรอยขีดข่วนและความชื้นได้ดีกว่า
ข้อเสียของไม้พื้นเทียม
อายุการใช้งานสั้นกว่า: เมื่อเทียบกับไม้พื้นแท้
ขัดพื้นไม่ได้: หากเกิดความเสียหายต้องเปลี่ยนใหม่
ลวดลายไม่เหมือนธรรมชาติ 100%: แม้จะเลียนแบบไม้จริง แต่ก็ยังสังเกตเห็นความแตกต่าง
การเลือกใช้ ไม้พื้น ขึ้นอยู่กับงบประมาณ พื้นที่ใช้งาน และความต้องการในด้านความสวยงามและการดูแลรักษา ไม้พื้นแท้เหมาะสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับความหรูหราและทนทาน ส่วนไม้พื้นเทียมเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มค่าและดูแลรักษาง่าย[2]
ความแตกต่างระหว่างไม้พื้นกับวัสดุปูพื้นอื่น ๆ
การเลือกวัสดุปูพื้นเป็นขั้นตอนสำคัญในการตกแต่งบ้าน ซึ่งวัสดุยอดนิยมอย่าง ไม้พื้น กระเบื้อง และไวนิล ต่างมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่เหมาะสมกับการใช้งานในรูปแบบที่แตกต่างกัน บทความนี้จะช่วยคุณเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของวัสดุแต่ละประเภท เพื่อช่วยตัดสินใจเลือกวัสดุที่เหมาะกับบ้านของคุณ
1. คุณสมบัติของไม้พื้น
ไม้พื้น มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในเรื่องความอบอุ่นและลวดลายธรรมชาติ
ข้อดี
ความสวยงาม: มีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ ดูหรูหราและให้ความรู้สึกอบอุ่น
สัมผัสที่ดี: เดินสบายเท้า ไม่เย็นเหมือนกระเบื้อง
ทนต่อการใช้งาน: โดยเฉพาะไม้พื้นแท้ที่มีความแข็งแรงและยืดหยุ่นสูง
ข้อเสีย
การดูแลรักษา: ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เช่น การทาน้ำยาเคลือบไม้
ไวต่อความชื้น: ไม้พื้นอาจบวมและเสียหายได้หากโดนน้ำเป็นเวลานาน
ราคา: มักมีราคาสูงกว่าไวนิลและกระเบื้อง
2. คุณสมบัติของกระเบื้อง
กระเบื้องเป็นวัสดุยอดนิยมสำหรับพื้นที่ที่ต้องการความแข็งแรงและดูแลรักษาง่าย
ข้อดี
ทนต่อความชื้น: เหมาะสำหรับพื้นที่เปียก เช่น ห้องน้ำหรือห้องครัว
ดูแลรักษาง่าย: ทำความสะอาดได้สะดวก ไม่ต้องการการดูแลพิเศษ
หลากหลายรูปแบบ: มีสีและลวดลายให้เลือกมากมาย
ข้อเสีย
สัมผัสเย็น: ทำให้รู้สึกไม่สบายเท้าในบางฤดูกาล
อาจลื่น: โดยเฉพาะเมื่อพื้นเปียก
การแตกร้าว: กระเบื้องอาจแตกหรือร้าวได้หากมีของหนักตกกระทบ
3. คุณสมบัติของพื้นไวนิล
พื้นไวนิลเป็นวัสดุที่กำลังได้รับความนิยมเนื่องจากความยืดหยุ่นและราคาย่อมเยา
ข้อดี
ราคาประหยัด: เหมาะสำหรับงบประมาณที่จำกัด
กันน้ำได้ดี: เหมาะสำหรับพื้นที่ที่เสี่ยงต่อความชื้น
ติดตั้งง่าย: ไม่ต้องใช้เวลานานและสามารถติดตั้งได้เอง
ข้อเสีย
ความทนทานน้อยกว่า: อายุการใช้งานสั้นกว่าไม้พื้นและกระเบื้อง
ลักษณะสัมผัส: ไม่หรูหราหรือดูเป็นธรรมชาติเหมือนไม้พื้น
ไวต่อความร้อน: อาจบิดเบี้ยวเมื่อโดนความร้อนสูง
4. การเลือกใช้วัสดุให้เหมาะสม
ไม้พื้น: เหมาะสำหรับพื้นที่ในบ้านที่ต้องการความอบอุ่นและความสวยงาม เช่น ห้องนั่งเล่นหรือห้องนอน
กระเบื้อง: เหมาะกับพื้นที่เปียกหรือพื้นที่ที่ต้องการความสะอาดง่าย เช่น ห้องครัวหรือห้องน้ำ
ไวนิล: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดงบประมาณ หรือใช้ในพื้นที่ที่ไม่ต้องการความหรูหรา
ไม้พื้น กระเบื้อง และไวนิล มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน การเลือกใช้งานขึ้นอยู่กับงบประมาณ สไตล์การตกแต่ง และลักษณะการใช้งานในพื้นที่นั้น ๆ หากคุณต้องการวัสดุปูพื้นที่ให้ทั้งความสวยงามและสัมผัสที่เป็นธรรมชาติ ไม้พื้นเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
ขนาดและราคาของไม้พื้นในท้องตลาด
ไม้พื้น เป็นวัสดุปูพื้นที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในงานตกแต่งบ้าน ด้วยคุณสมบัติที่สวยงาม ทนทาน และให้ความรู้สึกอบอุ่นในทุกพื้นที่ แต่ไม้พื้นในท้องตลาดมีขนาดและราคาที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของไม้และคุณภาพของวัสดุ ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกถึง ขนาดและราคาของไม้พื้น เพื่อช่วยให้คุณเลือกได้อย่างเหมาะสม[1]
ขนาดของไม้พื้นในท้องตลาด
ไม้พื้นมีขนาดหลากหลายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการใช้งาน ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ตามประเภทของไม้ ดังนี้:
1. ไม้พื้นแท้ (Solid Wood Flooring)
ความหนา: 18-25 มม.
ความกว้าง: 80-150 มม.
ความยาว: 900-2400 มม.
เหมาะสำหรับ: พื้นที่ที่ต้องการความหรูหรา เช่น ห้องนั่งเล่นหรือห้องนอน
2. ไม้พื้นสำเร็จรูป (Engineered Wood Flooring)
ความหนา: 12-20 มม.
ความกว้าง: 90-150 มม.
ความยาว: 900-1800 มม.
เหมาะสำหรับ: ห้องที่ต้องการความทนทานและดูแลรักษาง่าย เช่น ห้องนั่งเล่น
3. ไม้ลามิเนต (Laminate Flooring)
ความหนา: 8-12 มม.
ความกว้าง: 100-200 มม.
ความยาว: 1200-2400 มม.
เหมาะสำหรับ: พื้นที่ที่มีการใช้งานหนัก เช่น ร้านค้า หรือสำนักงาน
4. ไม้พื้น WPC (Wood Plastic Composite)
ความหนา: 12-20 มม.
ความกว้าง: 100-300 มม.
ความยาว: 2000-3000 มม.
เหมาะสำหรับ: พื้นที่ภายนอก เช่น ระเบียง หรือทางเดินในสวน
ราคาของไม้พื้นในท้องตลาด
ราคาของ ไม้พื้น จะขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุ ขนาด และแบรนด์ โดยราคาประมาณการในท้องตลาดมีดังนี้:
1. ไม้พื้นแท้ (Solid Wood Flooring)
ราคา: 1,500-3,500 บาท/ตารางเมตร
ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา: ชนิดของไม้ (ไม้สัก, ไม้มะค่า, ไม้แดง) และลวดลายธรรมชาติ
2. ไม้พื้นสำเร็จรูป (Engineered Wood Flooring)
ราคา: 1,200-2,500 บาท/ตารางเมตร
ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา: คุณภาพของชั้นวัสดุและแบรนด์
3. ไม้ลามิเนต (Laminate Flooring)
ราคา: 400-800 บาท/ตารางเมตร
ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา: ความหนาของไม้ลามิเนตและความทนทานต่อการขีดข่วน
4. ไม้พื้น WPC (Wood Plastic Composite)
ราคา: 1,000-2,000 บาท/ตารางเมตร
ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา: การกันน้ำและทนทานต่อสภาพอากาศ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อขนาดและราคาของไม้พื้น
ชนิดของไม้: ไม้ธรรมชาติ เช่น ไม้สัก จะมีราคาสูงกว่าไม้เทียม
คุณภาพของวัสดุ: วัสดุที่มีความทนทานและมีลวดลายสวยงามมักมีราคาสูงกว่า
แบรนด์และแหล่งผลิต: แบรนด์ที่มีชื่อเสียงหรือไม้ที่นำเข้าจะมีราคาสูงกว่าสินค้าภายในประเทศ
การเลือก ไม้พื้น ที่เหมาะสมไม่เพียงช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับบ้าน แต่ยังช่วยประหยัดงบประมาณและเพิ่มความทนทานให้กับพื้นที่ใช้งานอีกด้วย การพิจารณาขนาดและราคาของไม้พื้น รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น ชนิดของไม้และคุณภาพวัสดุ จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกไม้พื้นได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการ[1]
การติดตั้งไม้พื้น วิธีการและข้อควรรู้
ไม้พื้น เป็นวัสดุที่ช่วยเพิ่มความสวยงามและความอบอุ่นให้กับบ้านอย่างมีสไตล์ แต่การติดตั้งไม้พื้นไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนและข้อควรรู้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด บทความนี้จะพาคุณมาทำความรู้จักกับวิธีการติดตั้งไม้พื้น พร้อมข้อควรรู้ที่สำคัญ[1]
วิธีการติดตั้งไม้พื้น
1. การเตรียมพื้นที่ก่อนติดตั้ง
ทำความสะอาดพื้นผิว: พื้นที่ต้องสะอาด ปราศจากฝุ่นและความชื้น
ตรวจสอบระดับพื้น: พื้นต้องเรียบเสมอกันเพื่อป้องกันการโก่งหรือยุบตัวของไม้
ปูวัสดุรองพื้น (Underlayment): ช่วยลดเสียงรบกวน เพิ่มความนุ่มนวล และป้องกันความชื้น
2. การติดตั้งไม้พื้นแต่ละประเภท
ไม้พื้นแท้ (Solid Wood Flooring)
วิธีการ: ใช้กาวหรือการตอกตะปูยึดไม้กับพื้น
ข้อควรรู้: ต้องมีการเว้นช่องว่างระหว่างไม้และผนังประมาณ 1 ซม. เพื่อให้ไม้ขยายตัวได้
ไม้พื้นสำเร็จรูป (Engineered Wood Flooring)
วิธีการ: ใช้ระบบคลิกล็อก (Click-Lock) หรือติดด้วยกาว
ข้อควรรู้: ติดตั้งง่ายและไม่ต้องการเครื่องมือซับซ้อน
ไม้ลามิเนต (Laminate Flooring)
วิธีการ: ใช้ระบบคลิกล็อก โดยไม่ต้องติดกาว
ข้อควรรู้: ต้องปูพื้นรองเพื่อช่วยลดแรงกระแทกและเสียงรบกวน
ไม้พื้น WPC (Wood Plastic Composite)
วิธีการ: ใช้ระบบคลิกล็อกหรือติดตั้งด้วยสกรูในกรณีใช้งานภายนอก
ข้อควรรู้: ต้องเว้นระยะเล็กน้อยระหว่างแผ่นเพื่อป้องกันการขยายตัว
3. การเก็บรายละเอียดหลังติดตั้ง
ติดบัวพื้นเพื่อปิดช่องว่างระหว่างไม้และผนัง
ตรวจสอบความเรียบร้อยและเช็ดทำความสะอาดไม้พื้น
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการติดตั้งไม้พื้น
การควบคุมความชื้น
ไม้เป็นวัสดุธรรมชาติที่อาจบิดงอหรือหดตัวได้หากมีความชื้นมากเกินไป
ควรเก็บไม้พื้นไว้ในพื้นที่ที่จะติดตั้งอย่างน้อย 48 ชั่วโมงก่อนเริ่มงาน เพื่อปรับอุณหภูมิและความชื้น
การเลือกช่างผู้เชี่ยวชาญ
การติดตั้งไม้พื้นต้องใช้ความชำนาญ โดยเฉพาะไม้พื้นแท้ที่ต้องมีการปรับระดับและยึดไม้ให้แน่น
การดูแลหลังการติดตั้ง
หลีกเลี่ยงการลากเฟอร์นิเจอร์หนัก ๆ บนไม้พื้น
ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดทำความสะอาด และหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่รุนแรง
การตรวจสอบวัสดุรองพื้น
วัสดุรองพื้นที่เหมาะสมช่วยเพิ่มความทนทานของไม้พื้นและลดเสียงสะท้อน
การเว้นระยะขยายตัวของไม้
ต้องเว้นระยะประมาณ 1 ซม. รอบพื้นที่ติดตั้ง เพื่อให้ไม้สามารถขยายตัวได้ตามสภาพอากาศ
ข้อดีของการติดตั้งไม้พื้นอย่างถูกวิธี
เพิ่มความสวยงามและอายุการใช้งานของไม้พื้น
ลดปัญหาการบิดงอหรือโก่งตัวของไม้
เพิ่มความสะดวกในการดูแลรักษาในระยะยาว
การติดตั้ง ไม้พื้น อย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้บ้านของคุณมีความสวยงามและทนทานยิ่งขึ้น ทั้งนี้การเตรียมพื้น การเลือกวิธีติดตั้งที่เหมาะสม และการดูแลรักษาหลังการติดตั้งล้วนมีผลต่อคุณภาพของไม้พื้นในระยะยาว[1]
วิธีเลือกไม้พื้นให้เหมาะกับบ้านของคุณ
ไม้พื้น เป็นวัสดุยอดนิยมในการตกแต่งบ้านที่ให้ความสวยงาม อบอุ่น และเป็นธรรมชาติ แต่การเลือกไม้พื้นให้เหมาะกับบ้านนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องพิจารณาทั้งความทนทาน การใช้งาน และความเหมาะสมกับสไตล์ของบ้าน บทความนี้จะพาคุณไปเรียนรู้ วิธีเลือกไม้พื้น ให้เหมาะกับบ้านของคุณ
1. พิจารณาประเภทของไม้พื้น
ไม้พื้นมีหลายประเภท แต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป:
ไม้พื้นแท้ (Solid Wood Flooring)
ข้อดี: สวยงามและทนทาน มีลวดลายธรรมชาติที่ไม่ซ้ำกัน
เหมาะสำหรับ: บ้านที่ต้องการความหรูหราและอบอุ่น เช่น บ้านสไตล์คลาสสิก
ไม้พื้นสำเร็จรูป (Engineered Wood Flooring)
ข้อดี: ติดตั้งง่าย ราคาย่อมเยากว่าไม้แท้ ทนต่อความชื้นได้ดี
เหมาะสำหรับ: บ้านที่ต้องการความสวยงามและดูแลรักษาง่าย
ไม้ลามิเนต (Laminate Flooring)
ข้อดี: ราคาถูก ติดตั้งง่าย ทนต่อรอยขีดข่วน
เหมาะสำหรับ: บ้านที่ต้องการความคุ้มค่า เช่น ห้องนั่งเล่นหรือห้องเด็ก
ไม้พื้น WPC (Wood Plastic Composite)
ข้อดี: ทนต่อสภาพอากาศและความชื้นสูง
เหมาะสำหรับ: พื้นที่ภายนอกบ้าน เช่น ระเบียง หรือทางเดินในสวน
2. พิจารณาพื้นที่การใช้งาน
ห้องนั่งเล่นและห้องนอน: ใช้ไม้พื้นแท้หรือไม้พื้นสำเร็จรูปเพื่อเพิ่มความหรูหราและอบอุ่น
ห้องครัวและห้องน้ำ: เลือกไม้ลามิเนตหรือไม้ WPC ที่ทนต่อความชื้น
พื้นที่ภายนอกบ้าน: ใช้ไม้ WPC ที่ทนต่อสภาพอากาศ
3. เลือกสีและลวดลายให้เข้ากับสไตล์บ้าน
บ้านสไตล์โมเดิร์น: ใช้ไม้พื้นสีอ่อน เช่น สีเบจ หรือสีเทา
บ้านสไตล์คลาสสิก: เลือกไม้พื้นสีเข้ม เช่น สีน้ำตาลเข้มหรือสีเชอร์รี่
บ้านสไตล์ทรอปิคอล: ใช้ไม้พื้นที่มีลวดลายธรรมชาติ เช่น ไม้สัก
4. พิจารณางบประมาณ
งบประมาณสูง: ไม้พื้นแท้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความหรูหรา
งบประมาณปานกลาง: ไม้พื้นสำเร็จรูปให้ความสวยงามใกล้เคียงไม้แท้ในราคาย่อมเยา
งบประมาณจำกัด: ไม้ลามิเนตเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
5. พิจารณาคุณสมบัติพิเศษ
ทนต่อความชื้น: เลือกไม้สำเร็จรูปหรือไม้ WPC
ป้องกันรอยขีดข่วน: ไม้ลามิเนตเหมาะสำหรับบ้านที่มีเด็กหรือสัตว์เลี้ยง
ดูแลรักษาง่าย: ไม้ลามิเนตและไม้สำเร็จรูปเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาในการดูแลพื้นไม้
6. ตรวจสอบคุณภาพและการรับประกัน
ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรตรวจสอบคุณภาพของไม้พื้นและเงื่อนไขการรับประกันจากผู้จำหน่าย เพื่อให้มั่นใจในความคุ้มค่า
การเลือก ไม้พื้น ให้เหมาะกับบ้านของคุณขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ประเภทของไม้พื้น พื้นที่การใช้งาน งบประมาณ และสไตล์ของบ้าน การเลือกอย่างรอบคอบจะช่วยให้คุณได้ไม้พื้นที่สวยงาม ทนทาน และเหมาะสมกับบ้านของคุณในระยะยาว
วิธีการดูแลและรักษาไม้พื้นให้อยู่ในสภาพดี
ไม้พื้น เป็นวัสดุปูพื้นที่ได้รับความนิยมในงานตกแต่งบ้าน ด้วยความสวยงามและสัมผัสที่เป็นธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ไม้พื้นต้องการการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี เพื่อให้คงทนและดูสวยงามไปได้นานที่สุด บทความนี้จะแนะนำ วิธีการดูแลและรักษาไม้พื้น เพื่อช่วยยืดอายุการใช้งาน[3]
1. ทำความสะอาดไม้พื้นอย่างเหมาะสม
กวาดหรือดูดฝุ่น: ทำความสะอาดไม้พื้นทุกวันหรือสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อขจัดฝุ่นและเศษผงที่อาจทำให้พื้นเป็นรอย
ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ: เช็ดพื้นด้วยผ้าชุบน้ำหมาด หลีกเลี่ยงการใช้น้ำปริมาณมาก เพราะอาจทำให้ไม้พื้นบวมได้
หลีกเลี่ยงสารเคมีรุนแรง: ใช้น้ำยาทำความสะอาดที่ออกแบบมาสำหรับไม้พื้นโดยเฉพาะ
2. ป้องกันไม้พื้นจากความเสียหาย
หลีกเลี่ยงการลากเฟอร์นิเจอร์: ใช้แผ่นรองขาเฟอร์นิเจอร์เพื่อลดการเกิดรอยขีดข่วน
ระวังของมีคม: หลีกเลี่ยงการวางของมีคมบนพื้น หรือการสวมรองเท้าส้นสูงเดินบนพื้น
ป้องกันความชื้น: หากมีน้ำหกบนพื้น ควรรีบเช็ดทันที เพื่อป้องกันการซึมเข้าเนื้อไม้
3. เคลือบไม้พื้นเพื่อเพิ่มความทนทาน
ทาน้ำยาเคลือบไม้: ควรเคลือบผิวไม้ด้วยน้ำยาสำหรับไม้พื้นทุก 6-12 เดือน เพื่อเพิ่มความเงางามและป้องกันความเสียหาย
ขัดเงา (Polishing): ใช้ผลิตภัณฑ์ขัดเงาที่เหมาะสมกับไม้พื้นประเภทนั้น ๆ เพื่อคืนความสวยงาม
4. รักษาไม้พื้นตามประเภท
ไม้พื้นแท้ (Solid Wood Flooring): ต้องระวังความชื้นและแสงแดดโดยตรง เพราะอาจทำให้เนื้อไม้หดตัวหรือบิดงอได้
ไม้พื้นสำเร็จรูป (Engineered Wood Flooring): ทำความสะอาดง่ายกว่า แต่ควรหลีกเลี่ยงน้ำและความชื้นที่มากเกินไป
ไม้ลามิเนต (Laminate Flooring): หลีกเลี่ยงน้ำหกบนพื้นเพราะอาจทำให้ลามิเนตบวม
ไม้พื้น WPC (Wood Plastic Composite): เหมาะสำหรับพื้นที่เปียก แต่ควรเช็ดทำความสะอาดเพื่อคงความเงางาม
5. ป้องกันปัญหาที่เกิดจากสภาพอากาศ
การหดตัวและขยายตัวของไม้: ในสภาพอากาศร้อนหรือชื้นมาก ไม้อาจหดหรือขยายตัว ควรติดตั้งระบบควบคุมความชื้นภายในบ้าน เช่น เครื่องลดความชื้น
หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง: ใช้ม่านหรือผ้าม่านช่วยลดแสงแดดที่ตกกระทบพื้นไม้โดยตรง
6. ซ่อมแซมไม้พื้นเมื่อเกิดความเสียหาย
รอยขีดข่วนเล็กน้อย: ใช้สีสำหรับซ่อมแซมไม้พื้นแต้มบริเวณที่มีรอย
รอยลึกหรือเนื้อไม้เสียหาย: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในการขัดและเคลือบพื้นใหม่
การดูแลรักษา ไม้พื้น อย่างถูกวิธีจะช่วยเพิ่มอายุการใช้งานและคงความสวยงามของพื้นบ้านไว้ได้นาน การทำความสะอาดเป็นประจำ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และป้องกันความเสียหายจากการใช้งานและสภาพอากาศ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ไม้พื้นอยู่ในสภาพดี[3]
ไม้พื้นแบบไหนเหมาะสำหรับพื้นที่กลางแจ้ง
ไม้พื้น สำหรับพื้นที่กลางแจ้ง เช่น ระเบียง ทางเดินในสวน หรือพื้นที่รอบสระว่ายน้ำ ต้องการคุณสมบัติที่แตกต่างจากไม้พื้นที่ใช้ภายในบ้าน เนื่องจากต้องเผชิญกับความชื้น แสงแดด และสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา บทความนี้จะพาคุณไปดูว่าไม้พื้นแบบไหนเหมาะสำหรับการใช้งานกลางแจ้ง
1. คุณสมบัติสำคัญของไม้พื้นสำหรับพื้นที่กลางแจ้ง
ไม้พื้นที่เหมาะกับการใช้งานกลางแจ้งควรมีคุณสมบัติดังนี้:
ทนต่อความชื้นและน้ำ: ป้องกันการบวม การผุ และเชื้อรา
ทนทานต่อแสงแดด: ไม่ซีดจางหรือเสียหายจากรังสี UV
มีความแข็งแรง: รองรับการใช้งานหนักและการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ
ไม่ลื่น: เพื่อความปลอดภัยในพื้นที่เปียก
2. ประเภทของไม้พื้นสำหรับพื้นที่กลางแจ้ง
ไม้เนื้อแข็งธรรมชาติ (Hardwood)
ตัวอย่างไม้ที่นิยม: ไม้สัก, ไม้เต็ง, ไม้แดง
ข้อดี:
ทนทานต่อสภาพอากาศ
มีลวดลายธรรมชาติที่สวยงาม
ข้อควรรู้:
ต้องการการดูแลรักษา เช่น การทาน้ำยาเคลือบไม้เป็นประจำ
ไม้พื้น WPC (Wood Plastic Composite)
ส่วนประกอบ: ไม้ผสมพลาสติก
ข้อดี:
ทนต่อความชื้นและปลวก
ไม่ต้องการการดูแลรักษามาก
ติดตั้งง่ายและมีหลายสีให้เลือก
ข้อควรรู้:
มีราคาสูงกว่าไม้พื้นทั่วไปเล็กน้อย
ไม้พื้นลามิเนตชนิดกันน้ำ
คุณสมบัติพิเศษ: เคลือบกันน้ำและทนต่อความชื้น
ข้อดี:
ราคาย่อมเยา
ดูแลรักษาง่าย
ข้อควรรู้:
ไม่เหมาะกับการใช้งานที่มีน้ำขังต่อเนื่อง
ไม้พื้นสำเร็จรูปสำหรับกลางแจ้ง
ตัวอย่าง: ไม้พื้นสำเร็จรูปที่เคลือบสารป้องกัน UV และกันน้ำ
ข้อดี:
มีคุณสมบัติครบครันสำหรับพื้นที่กลางแจ้ง
ติดตั้งง่ายและรวดเร็ว
3. การเลือกไม้พื้นให้เหมาะกับพื้นที่กลางแจ้ง
พื้นที่รอบสระว่ายน้ำ
แนะนำ: ไม้ WPC หรือไม้เนื้อแข็งที่ผ่านการเคลือบกันน้ำ
เหตุผล: ป้องกันการลื่นและทนต่อความชื้นได้ดี
ทางเดินในสวน
แนะนำ: ไม้เนื้อแข็งธรรมชาติหรือไม้ WPC
เหตุผล: ให้ความสวยงามที่เป็นธรรมชาติและทนต่อการใช้งาน
ระเบียงกลางแจ้ง
แนะนำ: ไม้พื้นสำเร็จรูปที่กันน้ำและกัน UV
เหตุผล: ดูแลรักษาง่ายและไม่ซีดจางจากแสงแดด
4. เคล็ดลับการดูแลไม้พื้นกลางแจ้ง
ทาน้ำยาเคลือบไม้เป็นประจำ: โดยเฉพาะไม้เนื้อแข็งธรรมชาติ
ทำความสะอาดพื้นอย่างสม่ำเสมอ: กำจัดฝุ่นและคราบสกปรกเพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อรา
หลีกเลี่ยงน้ำขัง: เพื่อยืดอายุการใช้งานของไม้
การเลือก ไม้พื้น สำหรับพื้นที่กลางแจ้งควรพิจารณาคุณสมบัติที่ทนทานต่อสภาพอากาศ ความชื้น และแสงแดด ไม้เนื้อแข็งธรรมชาติและไม้ WPC เป็นตัวเลือกยอดนิยมที่ตอบโจทย์ความต้องการทั้งในด้านความสวยงามและความทนทาน
จะเห็นได้ว่าไม้พื้นระแนงจะมีทั้งแบบที่ใช้ไม้แท้และไม้เทียม ซึ่งไม้แต่ละชนิดก็จะมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน นอกจากความสวยงามแล้ว ความแข็งแรงทนทานก็ถือเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่หลายคนให้ความสำคัญ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันไม้ที่ดีและมีคุณภาพนั้นหาได้ค่อนข้างยาก แถมยังมีราคาแพงมากอีกด้วย จึงทำให้ไม้เก่ากลายเป็นวัสดุที่มีคุณค่า เพราะเป็นไม้ที่มีความแข็งแรงมากกว่าไม้ใหม่ที่มีอายุไม่มาก หากใครสนใจสินค้าไม้เก่า TWOMENWOOD ก็เป็นช่องทางที่จะทำให้คุณเข้าถึงสินค้าไม้เก่าจากโรงไม้คุณภาพได้
ตรวจสอบราคาสินค้า
อ้างอิง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไม้พื้น
1. ไม้พื้นคืออะไร?
ไม้พื้นคือวัสดุที่ใช้สำหรับปูพื้นบ้าน อาคาร หรือพื้นที่ต่างๆ โดยทำจากไม้ธรรมชาติหรือวัสดุสังเคราะห์ ให้ความสวยงามและมีคุณสมบัติแตกต่างกันไปตามประเภทของไม้
2. ไม้พื้นมีกี่ประเภท?
ไม้พื้นจริง (Solid Wood Flooring) – ทำจากไม้ธรรมชาติทั้งแผ่น แข็งแรง ทนทาน ให้ความรู้สึกอบอุ่น
ไม้พื้นเอ็นจิเนียร์ (Engineered Wood Flooring) – โครงสร้างเป็นชั้นๆ มีไม้จริงเคลือบด้านบน ทนต่อความชื้นมากกว่าพื้นไม้จริง
พื้นลามิเนต (Laminate Flooring) – ทำจากไม้บดอัด เคลือบลามิเนตด้านบน แข็งแรง ราคาประหยัด
พื้นไวนิลลายไม้ (Vinyl Flooring) – ผลิตจาก PVC มีลวดลายคล้ายไม้ ทนน้ำและปลวก
3. ไม้ชนิดไหนเหมาะสำหรับใช้ทำพื้น?
ไม้สัก – แข็งแรง ทนปลวกและความชื้น อายุการใช้งานยาวนาน
ไม้มะค่า – แข็งแรง ทนแรงกระแทก เหมาะกับพื้นบ้าน
ไม้เต็ง – ทนทาน แต่มีการหดตัวสูง ควรติดตั้งอย่างเหมาะสม
ไม้แดง – มีความแข็งแรงสูง นิยมใช้ในพื้นที่ที่ต้องการความทนทาน
4. ข้อดีของไม้พื้นคืออะไร?
ให้ความสวยงามเป็นธรรมชาติ
สัมผัสอบอุ่น เดินสบายเท้า
มีอายุการใช้งานยาวนาน
เพิ่มมูลค่าให้กับบ้าน
5. ไม้พื้นต้องดูแลรักษาอย่างไร?
หลีกเลี่ยงน้ำและความชื้น เพราะอาจทำให้ไม้บวมและโก่งตัว
ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดทำความสะอาด ไม่ควรใช้ไม้ถูพื้นเปียก
ใช้แผ่นรองเฟอร์นิเจอร์ป้องกันรอยขีดข่วน
6. ไม้พื้นสามารถใช้ในห้องน้ำหรือห้องครัวได้หรือไม่?
โดยทั่วไปไม้พื้นไม่เหมาะกับพื้นที่เปียก แต่สามารถใช้ ไม้พื้นเอ็นจิเนียร์ หรือ พื้นไวนิลลายไม้ ที่กันน้ำได้แทน
7. วิธีแก้ปัญหาไม้พื้นโก่งหรือบวมทำอย่างไร?
หากบวมน้อย ให้เปิดหน้าต่างหรือใช้พัดลมเป่าเพื่อลดความชื้น
หากโก่งมาก อาจต้องรื้อแล้วติดตั้งใหม่
8. ไม้พื้นราคาประมาณเท่าไหร่?
ไม้พื้นจริง – เริ่มต้นที่ 1,500 – 5,000 บาท/ตร.ม.
ไม้พื้นเอ็นจิเนียร์ – เริ่มต้นที่ 800 – 3,000 บาท/ตร.ม.
พื้นลามิเนต – เริ่มต้นที่ 400 – 1,500 บาท/ตร.ม.
พื้นไวนิลลายไม้ – เริ่มต้นที่ 300 – 1,200 บาท/ตร.ม.
9. ไม้พื้นสามารถปูทับกระเบื้องเดิมได้หรือไม่?
สามารถทำได้ แต่ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าพื้นเดิมเรียบและแน่นหนา หากใช้พื้นไม้จริง ควรติดตั้งบนตงไม้หรือโครงรองรับ
10. ควรเลือกไม้พื้นแบบไหนให้เหมาะกับบ้าน?
บ้านสไตล์คลาสสิก → ไม้พื้นจริง เช่น ไม้สัก หรือไม้มะค่า
บ้านโมเดิร์น → พื้นลามิเนต หรือไม้เอ็นจิเนียร์
บ้านที่ต้องการดูแลน้อย → พื้นไวนิลลายไม้