สินค้า
ไม้วอลนัท ไม้นำเข้าหายากที่มีลวดลายสวยเป็นเอกลักษณ์ สามารถใช้งานได้อย่างหลากหลาย
สภาส่งออกไม้เนื้อแข็งแห่งอเมริกา หรือ American Hardwood Export Council (AHEC) กล่าวว่า วอลนัท (Walnut) ในสมัยโบราณวอลนัทมีอีกสองชื่อคือ Bogatyr และ Yind of Gods “หรือต้นไม้แห่งชีวิต” เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีความสูงราว ๆ 20 เมตร จัดเป็นพืชที่มีอัตราการเจริญเติบโตค่อนข้างช้า ชอบแสงแดดโดยตรง และดินที่สามารถระบายน้ำได้ดี พบได้ทั่วไปในภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการแพร่กระจายตั้งแต่รัฐเท็กซัสไปจนถึงชายฝั่งทะเลตะวันออก ไม่พียงแต่เป็นต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่านั้น แต่เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานที่สุดในหมู่ต้นไม้แถบกลางทั้งหมด ข้อมูลทางสถิติกล่าวว่าต้นวอลนัทบางต้นอาศัยอยู่ถึง 400-600 ปี จึงทำให้ “ไม้วอลนัท” ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก [1]
นอกจากนี้ยังพบต้นวอลนัทได้ในภาคตะวันออกของแคนาดาด้วย แต่ทว่าต้นวอลนัทที่แข็งแรงและเป็นที่รู้จักมากที่สุดนั้นพบได้ในแถบทางตะวันตกตอนกลางของสหรัฐอเมริกา หรือ The American Midwest โดยเฉพาะรัฐโอไฮโอ อิลลินอยส์ และอินเดียนา ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ไม้วอลนัท เป็นหนึ่งในไม้ที่ถูกนำไปใช้งานในหลาย ๆ ด้าน เพราะมีคุณสมบัติหลายอย่างที่ตอบโจทย์การใช้งานนั่นเอง
ประวัติและต้นกำเนิดของไม้วอลนัท
ไม้วอลนัท เป็นหนึ่งในไม้ที่มีคุณค่าและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในงานเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งบ้าน ด้วยลวดลายที่สวยงามและความทนทาน ไม้วอลนัทจึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับผู้ที่ต้องการความหรูหราและคุณภาพในงานไม้[3]
ต้นกำเนิดของไม้วอลนัท
ไม้วอลนัท มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่หลากหลายทั่วโลก โดยเฉพาะในอเมริกาเหนือ ยุโรป และบางส่วนของเอเชีย สายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมที่สุดคือ วอลนัทอเมริกัน (American Walnut) ซึ่งเติบโตในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา นอกจากนี้ยังมี วอลนัทยุโรป (European Walnut) และ วอลนัทดำ (Black Walnut) ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ในอดีต ไม้วอลนัท ถูกนำมาใช้ในการทำเฟอร์นิเจอร์และงานศิลปะตั้งแต่ยุคโบราณ เช่น ในยุคกรีกและโรมัน ไม้วอลนัทเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและรสนิยมชั้นสูง
ความสำคัญทางวัฒนธรรมของไม้วอลนัท
ไม้วอลนัท ไม่ได้เป็นเพียงแค่ไม้ที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญทางวัฒนธรรมในหลายพื้นที่ ตัวอย่างเช่น ในยุโรป ไม้วอลนัท มักถูกใช้ในการแกะสลักเพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่ประณีต ในขณะที่ในเอเชีย วอลนัทมีบทบาทในงานฝีมือและเฟอร์นิเจอร์สำหรับชนชั้นสูง
คุณสมบัติที่โดดเด่นของไม้วอลนัท
สิ่งที่ทำให้ ไม้วอลนัท แตกต่างจากไม้ชนิดอื่นคือลวดลายที่สวยงามและความทนทาน เนื้อไม้มีสีเข้มถึงน้ำตาลช็อกโกแลต และบางครั้งอาจมีเฉดสีดำแทรกอยู่ ทำให้เหมาะกับการใช้งานในงานเฟอร์นิเจอร์หรูหรา นอกจากนี้ ไม้วอลนัท ยังมีคุณสมบัติป้องกันปลวกและเชื้อราได้ดี
ความนิยมในยุคปัจจุบัน
ปัจจุบัน ไม้วอลนัท ได้รับความนิยมในวงการออกแบบตกแต่งภายในและการผลิตเฟอร์นิเจอร์ระดับพรีเมียม เช่น โต๊ะรับประทานอาหาร ตู้โชว์ และพื้นไม้ โดยเฉพาะในโครงการที่ต้องการความหรูหราและความคงทน
การศึกษาประวัติและต้นกำเนิดของ ไม้วอลนัท ไม่เพียงช่วยเพิ่มความรู้เกี่ยวกับไม้ชนิดนี้ แต่ยังช่วยให้เราเข้าใจถึงคุณค่าและความพิเศษที่ทำให้ไม้วอลนัทเป็นที่ต้องการในทุกยุคสมัย หากคุณกำลังมองหาวัสดุที่มีความงามเหนือกาลเวลา ไม้วอลนัท คือตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม [3]
ทำความรู้จักกับไม้วอลนัท
ไม้วอลนัท เป็นไม้เนื้อเเข็ง (ความแข็ง 468 กก.) ทนทาน และมีความหนาเเน่นปานกลาง ไม้ชนิดนี้ดัดได้ปานกลาง ทนทานต่อเเรงกระเเทก และเป็นไม้ที่มีความเเข็งต่ำ โดยแก่นไม้จะมีสีน้ำตาลอ่อนถึงน้ำตาลเข้ม หรือที่เรียกกันว่าสีดาร์กช็อกโกแลตนั่นเอง บางครั้งอาจพบสีม่วงและริ้วสีเข้ม ส่วนกระพี้ไม้จะมีสีออกขาวนวลหรือสีครีม นั่นจึงทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างแก่นไม้และกระพี้ไม้ได้อย่างชัดเจน ในส่วนของลายไม้วอลนัทจะมีลักษณะตรงเป็นแนวยาว แต่ในบางครั้งอาจพบว่าลายไม้มีลักษณะเป็นคลื่นหรือลายหยัก ซึ่งทำให้ลายเนื้อไม้มีลักษณะเฉพาะและมีรูปทรงที่น่าสนใจ [2]
คุณสมบัติพิเศษของไม้วอลนัท
ไม้วอลนัท ถือเป็นหนึ่งในไม้ที่มีความพิเศษและเป็นที่ต้องการอย่างมากในอุตสาหกรรมการผลิตเฟอร์นิเจอร์และงานตกแต่งบ้าน ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นทั้งในด้านความแข็งแรงและความสวยงาม ไม้วอลนัท จึงกลายเป็นไม้พรีเมียมที่ตอบโจทย์ทั้งด้านการใช้งานและความหรูหรา
1. ลวดลายที่สวยงามและเอกลักษณ์เฉพาะตัว
หนึ่งในคุณสมบัติที่ทำให้ ไม้วอลนัท โดดเด่นเหนือไม้ชนิดอื่น คือ ลวดลายที่มีความเป็นธรรมชาติ ลายไม้ของไม้วอลนัทมักมีเส้นสายที่ดูสง่างาม สีเนื้อไม้มีตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลเข้มช็อกโกแลต และบางครั้งอาจมีเฉดสีดำแทรกเป็นลายริ้วเล็กๆ ซึ่งช่วยเพิ่มมิติและความหรูหราให้กับงานเฟอร์นิเจอร์
2. ความแข็งแรงและความทนทาน
ไม้วอลนัท มีความแข็งแรงในระดับสูง ทนต่อแรงกระแทกและรอยขีดข่วนได้ดี เนื้อไม้ไม่หดตัวหรือบิดงอง่าย จึงเหมาะสำหรับการใช้งานในระยะยาว เช่น การผลิตโต๊ะ ตู้ หรือพื้นไม้ นอกจากนี้ ไม้วอลนัทยังสามารถรองรับการแกะสลักได้อย่างประณีต ทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับงานไม้ที่ต้องการความละเอียด
3. ความต้านทานต่อปลวกและเชื้อรา
อีกหนึ่งคุณสมบัติที่ทำให้ ไม้วอลนัท ได้รับความนิยมคือ ความสามารถในการต้านทานปลวกและเชื้อรา เนื้อไม้มีน้ำมันธรรมชาติที่ช่วยป้องกันความเสียหายจากแมลงและความชื้น ทำให้ไม้วอลนัทเป็นไม้ที่เหมาะสำหรับการใช้งานทั้งในบ้านและพื้นที่ที่มีความชื้นสูง
4. การดูแลรักษาง่าย
เนื่องจากเนื้อไม้ของ ไม้วอลนัท มีความแข็งแรงและผิวสัมผัสเรียบ การดูแลรักษาจึงไม่ยุ่งยาก เพียงแค่เช็ดทำความสะอาดด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ และเคลือบผิวไม้ด้วยน้ำมันหรือแว็กซ์เป็นครั้งคราว เพื่อรักษาความงามและความเงางามของเนื้อไม้
5. การใช้งานหลากหลาย
ไม้วอลนัท เป็นวัสดุที่สามารถปรับใช้ได้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การผลิตเฟอร์นิเจอร์ เช่น โต๊ะอาหาร ชั้นวางของ ไปจนถึงการทำพื้นไม้ในบ้านหรือสำนักงาน นอกจากนี้ ยังเหมาะสำหรับการผลิตงานไม้ที่ต้องการความพิเศษ เช่น กีตาร์ แกะสลักไม้ และงานออกแบบที่มีความเป็นเอกลักษณ์
ไม้วอลนัท ไม่ได้เป็นเพียงไม้ธรรมดา แต่เป็นวัสดุที่รวมคุณสมบัติทั้งความงาม ความแข็งแรง และการใช้งานที่หลากหลายไว้ในหนึ่งเดียว หากคุณกำลังมองหาไม้ที่สามารถเติมเต็มความหรูหราให้กับบ้านหรือโครงการของคุณ ไม้วอลนัท คือตัวเลือกที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านคุณภาพและความคุ้มค่า
การใช้ประโยชน์ไม้วอลนัท
ด้วยความสวยงามและเอกลักษณ์อันโดดเด่นของลายไม้ รวมถึงความแข็งแรงของเนื้อไม้ จึงทำให้ไม้วอลนัทเหมาะสำหรับการนำไปใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ เป็นต้น นอกจากนี้ไม้วอลนัทยังสามารถใช้ตกแต่งภายใน กรุผนัง ทำประตู กรอบประตูหน้าต่าง ไม้พื้น ไม้วีเนียร์ พานท้ายปืน รวมถึงเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ [2]
เปรียบเทียบไม้วอลนัทกับไม้ชนิดอื่น
ไม้วอลนัท เป็นไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในวงการตกแต่งและผลิตเฟอร์นิเจอร์ระดับพรีเมียม แต่ไม้ชนิดอื่นๆ เช่น ไม้สัก ไม้โอ๊ก หรือไม้เมเปิ้ล ก็มีเอกลักษณ์และคุณสมบัติที่โดดเด่นเช่นกัน การเปรียบเทียบระหว่าง ไม้วอลนัท กับไม้ชนิดอื่นช่วยให้คุณเข้าใจข้อดีและข้อเสีย เพื่อเลือกใช้ไม้ที่เหมาะสมที่สุดกับความต้องการ
ไม้วอลนัท vs ไม้สัก
สรุป: ไม้สักเหมาะสำหรับการใช้งานกลางแจ้งที่ต้องเผชิญกับความชื้น ส่วน ไม้วอลนัท เหมาะกับงานตกแต่งภายในที่ต้องการความหรูหราและลวดลายโดดเด่น
ไม้วอลนัท vs ไม้โอ๊ก
สรุป: ไม้วอลนัท โดดเด่นเรื่องลวดลายและความหรูหรา ส่วนไม้โอ๊กเหมาะกับงานที่ต้องการความแข็งแรงและใช้งานหนัก
ไม้วอลนัท vs ไม้เมเปิ้ล
สรุป: ไม้วอลนัท ให้ความรู้สึกหรูหรามีระดับ ส่วนไม้เมเปิ้ลเหมาะกับงานที่ต้องการความเรียบง่ายและความแข็งแรง
ไม้วอลนัท vs ไม้เชอร์รี่
สรุป: ไม้เชอร์รี่เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความอบอุ่นและสีสันสวยงาม ส่วน ไม้วอลนัท ให้ความโดดเด่นและความหรูหรา
เลือกไม้วอลนัทหรือไม้ชนิดอื่นดี?
การเลือกไม้ขึ้นอยู่กับการใช้งานและความต้องการส่วนตัว หากคุณต้องการไม้ที่ผสมผสานความหรูหราและความแข็งแรง ไม้วอลนัท คือตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม แต่หากคุณต้องการความคงทนสำหรับงานกลางแจ้งหรือเฟอร์นิเจอร์ใช้งานหนัก ไม้สักหรือไม้โอ๊กอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
ข้อดี
• ลายไม้สวยและมีเอกลักษณ์ ไม้วอลนัท เป็นไม้ที่มีลวดลายและสีสันสวยงามเป็นธรรมชาติ ด้วยความที่เนื้อไม้มีหลากหลายสี โดยแก่นไม้มีตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงน้ำตาลเข้ม หรืออาจพบริ้วสีเข้มและอมม่วง อีกทั้งลายไม้ยังพบได้ทั้งแบบตรงเป็นแนวยาว และอาจเป็นคลื่นหรือลายหยัก จึงทำให้ไม้วอลนัทมีความโดดเด่นเป็นพิเศษ
• อัตราการหดตัวต่ำ ไม้วอลนัท เป็นไม้ชนิดหนึ่งที่มีอัตราการหดตัวต่ำ ซึ่งอาการบวมของไม้นั้นจะไม่ส่งผลต่อเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจาก ไม้วอลนัท เช่น โต๊ะ เก้าอี้ เป็นต้น
• ทนต่อรอยขีดข่วนและแรงกระแทก หากใช้ไม้วอลนัทแปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์แล้ว เฟอร์นิเจอร์ตัวนั้นจะมีความแข็งแรงและทนทาน ซึ่งมีความสามารถทนต่อรอยขีดข่วนและแรงกระแทกที่อาจทำให้เปลี่ยนรูปได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะแก่น ไม้วอลนัท ค่อนข้างแข็งแกร่ง และมีความสามารถในการป้องกันการกัดกร่อนที่ดี
• ทนต่อปลวกและแมลง รวมถึงเชื้อรา เนื่องจากไม้วอลนัทมีสารแทนนินสูง ซึ่งสามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และป้องกันการเน่าเปื่อยของไม้ได้ โดยเฉพาะไม้วอลนัทที่ผ่านการขัดและเคลือบแล้วจะทำให้มีอายุการใช้งานยาวนานมากขึ้น
• ง่ายต่อการตกแต่ง ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งด้วยมือหรือเครื่องจักร ไม้วอลนัท ก็สามารถทำได้ง่าย โดยเป็นไม้ที่ทาสีหรือย้อมสีได้ดีเป็นพิเศษ อีกทั้งยังชักเงาได้ดีและติดกาวได้ง่ายด้วย
• ดูแลรักษาได้ค่อนข้างง่าย โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้วอลนัท หากจะทำความสะอาดก็เพียงแค่ใช้ผ้านุ่ม ๆ ชุบน้ำเปล่าที่ผสมสบู่แบบเจือจางที่สุด จากนั้นบิดให้หมาดแล้วนำไปเช็ดทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ และผึ่งให้แห้งสนิทเร็วที่สุด ส่วนเฟอร์นิเจอร์ที่มีอายุการใช้งานได้สักระยะแล้วสามารถใช้แค่ผ้าแห้งเช็ดทำความสะอาด หรือจะใช้น้ำยาทำความสะอาดไม้โดยเฉพาะก็ได้เช่นกัน ทั้งนี้ควรระวังส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์และแอมโมเนีย เพราะอาจทำลายเนื้อไม้ได้ [1]
ข้อเสีย
• ราคาค่อนข้างสูง เนื่องจากเป็นไม้นำเข้าจากต่างประเทศ อีกทั้งยังจัดเป็นไม้ที่มีความสวยงามและทนทาน คุณสมบัติอยู่ในระดับพรีเมียม จึงทำให้ ไม้วอลนัท มีราคาค่อนข้างสูงและพบได้น้อย
• หาได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากเป็นไม้ที่มีอัตราการเจริญเติบโตช้า โดยต้องใช้เวลามากกว่า 100 ปีจึงจะโตเต็มที่ ในอดีตผู้คนจะนิยมใช้ไม้วอลนัทสร้างบ้าน ตู้ และเสารั้ว แต่ในปัจจุบันมีการใช้ไม้วอลนัทกันอย่างกว้างขวาง จึงทำให้จำนวนไม้ลดลงและหาได้ยาก และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ไม้ชนิดนี้มีราคาแพง
• สีไม้อ่อนลงได้เมื่อมีอายุการใช้งานมากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ ไม้วอลนัท จะเริ่มมีสีอ่อนลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องเรือน ไม้วอลนัท ที่โดนแดดเป็นเวลานาน แต่การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเหมือนกับไม้ชนิดอื่น ๆ มากนัก หากมีการเคลือบด้วยน้ำมันก็อาจช่วยให้สีของไม้เข้มขึ้นได้
วิธีการดูแลรักษาไม้วอลนัท
ไม้วอลนัท เป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมในการตกแต่งบ้านและการผลิตเฟอร์นิเจอร์ระดับพรีเมียม ด้วยลวดลายที่สวยงามและความแข็งแรงของเนื้อไม้ การดูแลรักษาไม้วอลนัทอย่างถูกวิธีจะช่วยยืดอายุการใช้งานและคงความเงางามของไม้ไว้ได้ในระยะยาว[5]
1. การทำความสะอาดพื้นฐาน
การทำความสะอาด ไม้วอลนัท ควรใช้อุปกรณ์และวิธีที่ไม่ทำลายพื้นผิวไม้
ใช้ผ้าแห้งหรือผ้าชุบน้ำหมาดๆ: เช็ดทำความสะอาดฝุ่นและสิ่งสกปรก
หลีกเลี่ยงการใช้น้ำมากเกินไป: เพราะความชื้นอาจทำให้เนื้อไม้บวม
หลีกเลี่ยงสารเคมีรุนแรง: ใช้น้ำยาทำความสะอาดไม้เฉพาะสำหรับ ไม้วอลนัท เพื่อป้องกันการกัดกร่อน
2. การเคลือบไม้เพื่อป้องกันรอยขีดข่วน
ไม้วอลนัท ควรได้รับการเคลือบไม้เป็นระยะ เพื่อป้องกันรอยขีดข่วนและเพิ่มความเงางาม
ใช้น้ำมันไม้ธรรมชาติ (เช่น น้ำมันวอลนัท): ช่วยบำรุงเนื้อไม้และเพิ่มความชุ่มชื้น
ทาแว็กซ์หรือเคลือบเงา: เพื่อปกป้องพื้นผิวจากการใช้งานหนัก
การเคลือบซ้ำ: ทำทุก 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับการใช้งาน
3. การป้องกันไม้จากความเสียหาย
ไม้วอลนัท แม้จะแข็งแรง แต่ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจทำให้เกิดความเสียหาย
หลีกเลี่ยงความร้อน: อย่าวางของร้อน เช่น แก้วน้ำร้อนหรือหม้อบนไม้โดยตรง ควรใช้ที่รอง
ป้องกันความชื้น: ไม่ควรให้ไม้วอลนัทสัมผัสน้ำหรือความชื้นเป็นเวลานาน
ป้องกันรอยขีดข่วน: ใช้แผ่นรองใต้ของหนักหรือวัตถุมีคม
4. การซ่อมแซมรอยขีดข่วนหรือรอยเสียหาย
หาก ไม้วอลนัท มีรอยขีดข่วนเล็กน้อย สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีง่ายๆ
ใช้ปากกาซ่อมไม้: เติมสีในบริเวณที่มีรอยขีดข่วน
ขัดเบาๆ ด้วยกระดาษทรายละเอียด: สำหรับรอยลึก จากนั้นเคลือบด้วยน้ำมันหรือแว็กซ์
เติมน้ำมันวอลนัท: เพื่อช่วยลดรอยและคืนความเงางาม
5. การดูแลไม้วอลนัทในระยะยาว
การดูแลระยะยาวจะช่วยให้เฟอร์นิเจอร์หรือพื้นไม้ที่ทำจาก ไม้วอลนัท มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง: แสงแดดอาจทำให้สีของไม้จางลง
ตรวจสอบความเสียหาย: หากพบรอยแตกหรือปัญหาอื่น ควรซ่อมแซมทันที
เก็บรักษาในที่อากาศถ่ายเท: เพื่อป้องกันความชื้นสะสม
ไม้วอลนัท เป็นไม้ที่มีคุณสมบัติพิเศษและความงดงามเฉพาะตัว การดูแลรักษาอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอช่วยให้ไม้วอลนัทคงความสวยงามและความแข็งแรงได้ในระยะยาว หากคุณมีเฟอร์นิเจอร์หรือวัสดุที่ทำจากไม้วอลนัท การดูแลด้วยวิธีข้างต้นจะช่วยยืดอายุการใช้งานและรักษาความคุ้มค่าของไม้ชนิดนี้[5]
จุดเด่น
สิ่งที่ทำให้ ไม้วอลนัท โดดเด่นและน่าสนใจคงจะหนีไม่พ้นเอกลักษณ์ของเนื้อไม้ โดยแก่นไม้วอลนัทจะมีตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาลเข้ม หรือในบางครั้งอาจพบได้ว่าแก่นไม้มีริ้วสีเข้มจนถึงอมม่วง ในขณะที่กระพี้ไม้จะมีสีออกขาวนวลหรือสีออกขาวครีม นอกจากนี้ลายไม้ยังดูสวยงาม โดยทั่วไปจะพบว่าลายไม้วอลนัทมีลักษณะตรงเป็นแนวยาว แต่ในบางครั้งพบว่าเป็นลายคลื่นหรือลายหยัก ด้วยคุณสมบัตินี้จึงทำให้ไม้วอลนัทมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะสถาปนิกและตลาดเฟอร์นิเจอร์ล้วนต้องการไม้ที่มีคุณสมบัติดังกล่าว
จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า ไม้วอลนัท เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีความแข็งแรงทนทาน สามารถรับน้ำหนักและแรงกระแทกได้ดี ลวดลายและสีสันของไม้ดูมีเอกลักษณ์ เมื่อนำมาผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์หรือตกแต่งภายในจะให้ความรู้สึกอบอุ่นเป็นธรรมชาติและสบายตา แต่จะพบได้น้อยนัก เพราะไม้มีราคาค่อนข้างสูง สำหรับใครที่สนใจไม้เก่า ไม้จริง หรือไม้แปรรูปชนิดต่าง ๆ เช่นไม้สัก ไม้มะค่า ไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้เนื้อแข็ง สามารถดูสินค้าและติดต่อสั่งซื้อได้จาก TWOMENWOOD ของเราได้เลย สำหรับท่านใดต้องการดูสินค้าด้วยตัวเอง เรามีหน้าร้านไม้เก่าอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี
หมายเหตุ ร้านเราจะขายไม้เก่าไทย เช่น ไม้สัก ไม้มะค่า ไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้เนื้อแข็ง สามารถตรวจเช็คราคาได้ทางข้างล่าง