สินค้า
ไม้เนื้อแข็งคืออะไร ทำไมถึงควรใช้ไม้เนื้อแข็ง
จากข้อมูลของกรมป่าไม้ได้ระบุได้ไว้ว่า ไม้เนื้อแข็ง เป็นไม้ที่มีวงปีมากกว่าไม้เนื้ออ่อน เนื่องจาก ไม้เนื้อแข็ง ส่วนใหญ่จะมีการเจริญเติบโตที่ช้ากว่าไม้เนื้ออ่อนโดย [1] ตามหลักเกณฑ์ทางวิชาการนั้นจะทำการจำแนกตามคุณสมบัติทางกล (Mechanical properties) ซึ่งโดยหลักๆ ประกอบด้วย ความต้านทานแรงดึง (Tensile strength), ความต้านทานแรงกด หรือ แรงบีบ (Compressive strength), ความต้านทานแรงเฉือน (Shear strength), และ ความต้านทานแรงดัด Flexural strength) [2] ตามเอกสารของกรมป่าไม้ พบว่า แรงดัดนั้นเป็นแรงที่เกิดขึ้นเสมอในงานก่อสร้าง และ สามารถทำให้ไม้นั้นเสียรูปโดยสิ้นเชิง จึงใช้แรงดัดสูงสุดที่ทำให้ไม้หักเป็นเกณฑ์ในการกำหนดความเข็งแรงของไม้ เรียกว่า แรงประลัยในการหัก (Modulus of rupture) ซึ่งไม้ที่จัดว่าเป็น ไม้เนื้อแข็ง นั้นจะต้องมีแรงประลัยในการหัก 1,000 กก/ซม2 ขึ้นไปและมีความอายุการใช้งานตามธรรมชาติเฉลี่ยสูงกว่า 10 ปี ทั้งสิ้น ยกเว้นไม้ตะเคียนทองที่มีอายุการใช้งานตามธรรมชาติเฉลี่ย 7.7 ปี นอกจากนี้ ไม้เนื้อเข็ง นั้นจะมีน้ำหนักค่อนข้างมาก และยังมีสี ลวดลายที่ชัดเจนขึ้นตามอายุของไม้อีกด้วย
ไม้เนื้อแข็ง นั้นมีความเหนียว เหมาะกับงานตกแต่งภายนอกที่ต้องเผชิญกับแสงแดดและฝน เหนียว ทนทาน โดยส่วนใหญ่ ไม้เนื้อแข็ง ที่ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายจนกลายเป็นที่นิยม สามารถใช้งานก่อสร้าง และใช้สอยทั่วไป เช่น คาน เสา พื้น วงกบ บันได เป็นต้น จะประกอบด้วย ไม้มะค่า ไม้ตะเคียน ไม้ตะแบก ไม้แดง ไม้เต็ง ไม้รัง เป็นต้น [2–3] ซึ่งไม้เหล่านี้จัดเป็น ไม้เนื้อแข็ง ที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน ทั้งนี้ลวดลาย สีสัน และคุณสมบัติอื่น ๆ ของไม้แต่ละชนิดก็จะแตกต่างกันออกไป
ชนิดของไม้เนื้อแข็งที่นิยม
• ไม้เต็ง เป็นไม้ที่คนไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดยเนื้อไม้จะมีแรงประลัยในการหักอยู่ที่ 1732 กก/ซม2 [2] เนื้อหยาบ และเหนียวจแต่มีความสม่ำเสมอ สำหรับสีของเนื้อไม้นั้น จะมีตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อน ถ้าตัดทิ้งไว้นานสีจะเข้มขึ้น ไม่นิยมใช้สำหรับงานภายใน เนื่องจากผิวหยาบและลายเสี้ยนไม้ไม่ค่อยสวยงาม จัดเป็นไม้อีกหนึ่งชนิดที่มีความทนทานแต่ในส่วนของการเลื่อยไสและตกแต่งอาจทำได้ค่อนข้างยากส่วนใหญ่จะนิยมใช้ทำเป็นโครงสร้างอาคารเสาไม้ ประตู หน้าต่าง วงกบ ด้ามจับเครื่องมือกสิกรรม เหมาะสำหรับใช้งานกับภายนอกเป็นหลัก เนื่องจากทนสภาพอากาศได้ดี [1]
• ไม้รัง เป็นไม้ที่มีเนื้อค่อนข้างหยาบจนถึงละเอียดปานกลาง ลักษณะเนื้อไม้มีสีน้ำตาลอมเหลือง มีแรงประลัยในการหักอยู่ที่ 1352 กก/ซม2 [2] โดยคุณสมบัติของไม้รังจะมีลักษณะคล้ายกับไม้เต็ง แต่จะมีความแข็งแรงน้อยกว่า อย่างไรก็ตามในบางกรณีสามารถใช้ไม้รังแทนไม้เต็งได้ ซึ่งจะเหมาะกับงานก่อสร้างที่ต้องรับน้ำหนักมากเป็นพิเศษ นิยมนำไปใช้ในงานก่อสร้างหรือชิ้นส่วนต้องการรับน้ำหนักมาก อาทิ เสา พื้น คาน
• ไม้ตะเคียนทอง มีเนื้อไม้สีเหลืองหม่น หรือสีน้ำตาลอมเหลือง ลักษณะเด่นของไม้ตะเคียนทอง จะเห็นได้ว่าไม้ชนิดนี้มักจะมีเส้นสีขาวหรือสีเทาขาวผ่านเสมอ
ซึ่งเป็นท่อน้ำมันยาง เนื้อไม้มีแรงประลัยในการหักอยู่ที่ 1172 กก/ซม2 [2] อีกทั้งยังทนต่อปลวกได้เป็นอย่างดี ไม้ตะเคียนทอง เหมาะกับการนำมาเลื่อยไส และตกแต่งชักเงาอย่างมาก ซึ่งนิยมใช้ในการก่อสร้างอาคาร อีกทั้งยังสามารถใช้ในการทำวงกบ หรือ พื้นไม้ เนื่องจากมีความคงทนสูง
• ไม้ตะเคียนหิน ถือได้ว่าเป็นตะเคียนอีกหนึ่งชนิดที่มีเนื้อไม้แข็ง โดยมีแรงประลัยในการหักอยู่ที่ 1609 กก/ซม2 [2] ซึ่งนิยมนำไม้สดไปแปรรูป ถือได้ว่าเป็นไม้เนื้อแข็งที่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย อาทิเช่น ใช้ทำเครื่องเรือน เรือขุดเสา สะพาน หมอนรถไฟ สามารถนำมาแกะสลักเป็นลวดลายต่าง ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าได้ เป็นต้น
• ไม้ ตะเคียน ทราย เนื้อไม้มีแรงประลัยในการหักจัดเป็นไม้ตะเคียนที่มีความแน่นสูง อยู่ที่ 760 กก.ม3. [2] จึงสามารถรับน้ำหนักได้ดี โดยจะนิยมใช้ไม้ชนิดนี้ในการก่อสร้างที่ต้องรับน้ำหนักมาก นอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้ทำเครื่องจักสานและเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ได้เช่นกัน
ไม้เนื้อแข็ง vs ไม้เนื้ออ่อน เลือกแบบไหนดี?
ไม้เนื้อแข็ง และ ไม้เนื้ออ่อน ต่างมีคุณสมบัติและการใช้งานที่โดดเด่นแตกต่างกัน การเลือกใช้ไม้ให้เหมาะสมกับงานเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด บทความนี้จะเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างไม้เนื้อแข็งและไม้เนื้ออ่อนในด้านต่างๆ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
1. ความหมายของไม้เนื้อแข็งและไม้เนื้ออ่อน
ไม้เนื้อแข็ง
มาจากต้นไม้ประเภทไม้ผลัดใบ เช่น ไม้สัก ไม้เต็ง ไม้แดง และไม้ประดู่ เนื้อไม้มีความแน่น แข็งแรง และทนทานมาก เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความคงทนไม้เนื้ออ่อน
มาจากต้นไม้ประเภทไม้ไม่ผลัดใบ เช่น ไม้สน ไม้ยูคา ไม้ไผ่ เนื้อไม้มีความเบา ยืดหยุ่นง่าย และมักนำไปใช้ในงานที่ไม่ต้องรับน้ำหนักมาก
2. การเลือกใช้ไม้ให้เหมาะสมกับงาน
เลือกไม้เนื้อแข็ง:
หากคุณต้องการไม้ที่มีความคงทน ใช้งานได้ยาวนาน และดูหรูหรา เช่นเลือกไม้เนื้ออ่อน:
เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความเบาและราคาประหยัด เช่นงาน DIY หรืองานเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเล็ก
งานโครงสร้างชั่วคราว เช่น รั้ว หรือแบบพาเลท
งานตกแต่งที่ต้องการลวดลายเรียบง่าย
3. คำแนะนำเพิ่มเติม
หากต้องการไม้ที่ทนทานต่อปลวกและความชื้น ควรเลือกไม้เนื้อแข็งที่ผ่านกระบวนการอบแห้งและเคลือบสารป้องกัน
หากต้องการลดต้นทุน ควรเลือกไม้เนื้ออ่อน แต่ต้องป้องกันปลวกด้วยการเคลือบสารกันปลวก
ไม้เนื้อแข็งหรือไม้เนื้ออ่อนดี?
การเลือกใช้ ไม้เนื้อแข็ง หรือ ไม้เนื้ออ่อน ขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของคุณ หากเน้นความทนทานและงานหรูหรา ไม้เนื้อแข็งเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่หากเน้นความคุ้มค่าและงานที่ไม่ต้องรับน้ำหนักมาก ไม้เนื้ออ่อนก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
ความแตกต่างระหว่างไม้เนื้อแข็งและไม้เนื้ออ่อน
ข้อดีของไม้เนื้อแข็ง
• มีความแข็งแรงและทนทาน ไม้เนื้อแข็ง ส่วนใหญ่มักจะมีเนื้อค่อนข้างเหนียว แข็งแรงและทนทาน อีกทั้งยังสามารถรับน้ำหนักและแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี [2]
•ใช้งานได้อย่างหลากหลาย ไม้เนื้อแข็ง หลายชนิด นอกจากลายไม้และสีสันที่ดูสวยงาม ยังมีความแข็งแรงและทนทาน จึงตอบโจทย์การใช้งานในหลาย ๆ ด้าน อาทิเช่น ใช้ทำโครงสร้างอาคารบ้านเรือน เฟอร์นิเจอร์ หรือเครื่องมือเครื่องใช้ประเภทต่าง ๆ ก็สามารถทำได้เช่นกัน [3]
•ทนต่อสภาพอากาศได้เป็นอย่างดี ด้วยความเข็งแรงทนทานของ ไม้เนื้อแข็ง สามารถทนต่อสภาพอากาศได้ดี ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด ลมพายุหรือฝน ด้วยคุณสมบัตินี้จึงทำให้ไม้เนื้อแข็งถูกนำไปใช้เป็นโครงสร้างอาคารบ้านเรือน รวมถึงการตกแต่งภายนอก [2]
•อายุการใช้งานยาวนาน โดยทั่วไปแล้ว ไม้เนื้อแข็ง จะมีอายุการใช้งานสูงกว่า 10 ปี ถ้าหากเป็นไม้คุณภาพดีและมีอายุหลายสิบปีก็จะอยู่ได้นานกว่า เนื่องจากอายุที่มากขึ้นจะทำให้เนื้อไม้มีความแน่นหนาและทนทานมากขึ้นตามไปด้วย [2]
ข้อเสียของไม้เนื้อแข็ง
• อาจเกิดการบิดและหดตัวของไม้ โดยเฉพาะ ไม้เนื้อแข็ง ที่มีอายุไม่มาก มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการบิดหรือหดตัวเมื่อต้องเผชิญกับความชื้นและความร้อนเป็นเวลานาน ถึงแม้ว่าไม้ชนิดนั้นจะมีความทนทานก็ตาม แต่เมื่อโดนฝนหรือความชื้นบ่อย ๆ อาจเกิดปัญหาดังกล่าวได้ ไม้ต้องมีอายุมาก ถึงสามารถนำมาใช้งานได้ [2]
• น้ำหนักมาก ด้วยความที่เป็น ไม้เนื้อแข็ง มีความแน่นหนา และเหนียว จึงมีน้ำหนักมาก ซึ่งถ้าหากนำไปทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ อาจทำให้เคลื่อนที่หรือขนย้ายได้ค่อนข้างยากพอสมควร [2]
•ไม้คุณภาพดีหาได้ค่อนข้างยาก อย่างที่กล่าวไปว่า ไม้เนื้อแข็ง ที่มีคุณภาพดีนั้นจะเป็นไม้ที่มีอายุหลายสิบปีขึ้นไป โดยส่วนใหญ่มักจะใช้ไม้ที่มีอายุไม่มาก เนื่องจากอัตราการเจริญเติบโตของไม้เนื้อแข็งนั้นค่อนข้างช้า จึงมักนำไม้ที่มีอายุไม่มากมาใช้งานแทน
• ราคาสูง หากเป็น ไม้เนื้อแข็ง ที่หาได้ยากจะทำให้ราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากความต้องการในตลาดมีมาก ในขณะที่จำนวนสินค้ามีน้อย เช่นนี้จึงทำให้ไม้เนื้อแข็งคุณภาพดีมักมีราคาแพง ยิ่งไม้เนื้อแข็งมีอายุมากราคาก็จะสูงขึ้นเช่นกัน
ไม้เนื้อแข็ง เหมาะกับงานแบบไหนบ้าง
ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ไม้เนื้อแข็ง ก็ยังคงได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง เพราะจัดเป็นไม้คุณภาพดีที่ควรค่าแก่การนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ อีกทั้งยังมีลวดลายที่สวยงามเฉพาะของแต่ละชนิด โดยส่วนใหญ่จะนิยมนำไม้ประเภทนี้ไปใช้ในการก่อสร้าง ทำเสาและโครงสร้างบ้านเรือน วัสดุตกแต่งภายในและภายนอก เฟอร์นิเจอร์ เครื่องมือการเกษตร ไม้หมอนรถไฟ รวมถึงเครื่องมือเครื่องใช้ประเภทต่างๆ
วิธีเลือกซื้อไม้เนื้อแข็งคุณภาพดี เคล็ดลับที่คุณควรรู้
ไม้เนื้อแข็ง เป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมในการก่อสร้างและตกแต่งบ้าน เนื่องจากมีความแข็งแรง ทนทาน และมีลวดลายที่สวยงาม แต่การเลือกซื้อไม้เนื้อแข็งที่มีคุณภาพดีไม่ใช่เรื่องง่าย หากคุณต้องการลงทุนในไม้เนื้อแข็งที่เหมาะสมกับงาน บทความนี้จะช่วยแนะนำวิธีการเลือกซื้ออย่างถูกต้อง
1. ทำความเข้าใจกับชนิดของไม้เนื้อแข็ง
ไม้เนื้อแข็งมีหลายชนิด โดยแต่ละชนิดมีคุณสมบัติและลักษณะเฉพาะตัว เช่น:
ไม้สัก: เนื้อไม้ละเอียด ทนทานต่อปลวกและความชื้น เหมาะสำหรับงานเฟอร์นิเจอร์และตกแต่งบ้าน
ไม้เต็ง: แข็งแรงมาก เหมาะสำหรับงานโครงสร้าง เช่น เสาและคาน
ไม้แดง: ทนทานต่อสภาพอากาศ เหมาะสำหรับงานกลางแจ้ง
ไม้ประดู่: มีลายไม้สวยงาม เหมาะสำหรับงานตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์หรู
เลือกชนิดของไม้เนื้อแข็งที่เหมาะสมกับการใช้งานก่อนตัดสินใจซื้อ
2. ตรวจสอบลักษณะของเนื้อไม้
การตรวจสอบเนื้อไม้เป็นขั้นตอนสำคัญในการเลือกซื้อไม้เนื้อแข็งคุณภาพดี:
เนื้อไม้แน่น: เนื้อไม้ควรมีความหนาแน่น ไม่พรุน เพื่อความทนทาน
ลวดลายชัดเจน: ไม้เนื้อแข็งคุณภาพดีมักมีลวดลายที่สวยงามและเป็นธรรมชาติ
ไม่มีรอยแตก: ตรวจสอบว่าเนื้อไม้ไม่มีรอยแตกหรือรอยร้าว ซึ่งอาจลดคุณภาพของไม้
3. เลือกไม้ที่ผ่านการอบแห้ง
ไม้เนื้อแข็งที่ผ่านการอบแห้งจะมีคุณสมบัติที่ดีกว่าไม้ที่ไม่ได้อบแห้ง เพราะ:
ลดความชื้นในเนื้อไม้ ทำให้ไม้ไม่หดตัวหรือบิดงอ
ลดโอกาสเกิดเชื้อราและแมลงกัดกิน
ไม้เนื้อแข็งที่มีคุณภาพมักจะระบุว่าเป็น “ไม้แห้งสนิท” หรือผ่านการอบแห้งแล้ว
4. ตรวจสอบขนาดและความหนาของไม้
เลือกไม้ที่มีขนาดและความหนาเหมาะสมกับการใช้งาน เช่น:
งานโครงสร้าง: ใช้ไม้หนาและยาว เช่น ไม้เต็งหรือไม้แดง
งานตกแต่ง: ใช้ไม้ขนาดเล็กหรือบาง เช่น ไม้สักหรือไม้ประดู่
5. เลือกซื้อไม้จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
ซื้อไม้เนื้อแข็งจากร้านค้าที่มีชื่อเสียง หรือผู้ขายที่ได้รับการรับรอง เช่น:
ร้านที่มีเอกสารรับรองแหล่งที่มาของไม้
ร้านที่มีบริการหลังการขาย เช่น การตัดไม้หรือส่งไม้
6. เปรียบเทียบราคา
ไม้เนื้อแข็ง มักมีราคาสูง แต่ราคาจะแตกต่างกันตามชนิด ขนาด และกระบวนการผลิต ควรเปรียบเทียบราคาจากหลายแหล่ง และอย่าเลือกซื้อไม้ที่ราคาถูกจนเกินไป เพราะอาจได้ไม้คุณภาพต่ำ
7. การดูแลรักษาหลังการซื้อ
หลังจากเลือกซื้อไม้เนื้อแข็งแล้ว ควรดูแลรักษาไม้เพื่อยืดอายุการใช้งาน เช่น:
เคลือบสารกันปลวก
เก็บในที่แห้งและหลีกเลี่ยงความชื้น
ทำความสะอาดไม้เป็นประจำ
8. คำถามที่ควรถามก่อนซื้อไม้เนื้อแข็ง
ไม้ผ่านการอบแห้งแล้วหรือไม่?
มีการรับประกันคุณภาพหรือเปล่า?
ไม้ชนิดนี้เหมาะกับงานที่ต้องการหรือไม่?
การเลือกซื้อ ไม้เนื้อแข็ง คุณภาพดีไม่ใช่เรื่องยาก หากคุณใส่ใจตรวจสอบชนิดไม้ ลักษณะเนื้อไม้ และเลือกซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ การเลือกไม้ที่เหมาะสมจะช่วยให้งานไม้ของคุณออกมาสวยงามและใช้งานได้ยาวนาน
จุดเด่นของไม้เนื้อแข็งที่ได้รับความนิยมในอันดับต้นๆ
ถ้าหากกล่าวถึง ไม้เนื้อแข็ง ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันแล้ว เชื่อว่าหลายคนจะต้องนึกถึงไม้มะค่าเป็นอันดับต้น ๆ เนื่องจากไม้ชนิดนี้มีลวดลายที่สวยงาม ดูละเอียดและเป็นธรรมชาติ ซึ่งยากต่อการเลียนแบบ โดยเนื้อไม้จะมีสีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงน้ำตาลแก่ หรือน้ำตาลอมแดง เนื้อไม้ค่อนข้างหยาบ แต่ยังมีความสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติที่แข็งแรง ทนต่อปลวกและมอดได้ดี นอกจากงานก่อสร้างแล้ว ไม้มะค่ามักถูกนำไปทำเป็นหมอนรถไฟ เครื่องมือกสิกรรม และเฟอร์นิเจอร์ประเภทต่าง ๆ
8 อันดับไม้เนื้อแข็งที่สุดในไทย
อันดับที่ 1 ไม้เค็ง
อันดับที่ 2 ไม้สาธร
อันดับที่ 3 ไม้ชิงชัน
อันดับที่ 4 ไม้พยุง รายละเอียดเรื่องไม้พยุง
อันดับที่ 5 ไม้มะเกลือ
อันดับที่ 6 ไม้เต็ง รายละเอียดเรื่องไม้สักเต็ง (ตรวจสอบราคา)
อันดับที่ 7 ไม้แดง รายละเอียดเรื่องไม้แดง (ตรวจสอบราคา)
อันดับที่ 8 ไม้เกด
จะเห็นได้ว่า ไม้เนื้อแข็ง นั้นมีข้อดีมากแค่ไหน และเพราะเหตุใดถึงได้รับความนิยม ซึ่งไม้เนื้อแข็งนั้นก็มีให้เลือกใช้งานหลากหลายชนิดด้วยกัน หากจะนำไปใช้เป็นสิ่งปลูกสร้าง หรือเฟอร์นิเจอร์ ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อน เพื่อให้ได้ผลงานที่เหมาะสมและตอบโจทย์การใช้งาน หากใครที่ต้องการไม้เก่า หรือไม้เนื้อแข็งแปรรูปชนิดต่าง ๆ TWOMENWOOD ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่คุณสามารถเข้ามาดูสินค้าและสั่งซื้อได้ สำหรับท่านใดต้องการดูสินค้าด้วยตัวเอง เรามีหน้าร้านไม้เก่าอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี