Your Cart

โรงเลื่อย อุตสาหกรรมไม้ขั้นมูลฐานในการผลิตไม้แปรรูป

โรงเลื่อย อุตสาหกรรมไม้ขั้นมูลฐานในการผลิตไม้แปรรูป

https://www.เครื่องเลื่อย.net/images/editor/77365.jpg

กรมป่าไม้กล่าวว่า ในปัจจุบันการแปรรูปไม้ยังคงดำเนินการกันอย่างต่อเนื่อง เพราะไม้เป็นวัสดุจากธรรมชาติที่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย แต่ก่อนจะนำไปใช้งานจำเป็นต้องผ่านกระบวนการแปรรูปก่อน ในกรณีที่ไม่ใช่ไม้หวงห้ามนั้นไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนนำมาแปรรูป ยกเว้นการแปรรูปที่เข้าข่ายลักษณะการตั้ง โรง เลื่อย ไม้ แปรรูป หรือโรงงานแปรรูปไม้ ตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 [1]

โรงเลื่อยคืออะไร? และมีบทบาทอย่างไรในอุตสาหกรรมไม้

โรงเลื่อย คือสถานที่ที่ทำหน้าที่แปรรูปไม้ซุงหรือไม้ท่อนให้เป็นไม้แปรรูปในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ไม้กระดาน ไม้แผ่น ไม้คาน หรือวัสดุไม้ที่พร้อมใช้งานในงานก่อสร้างและตกแต่ง โรงเลื่อยเป็นส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมไม้ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับไม้ซุง และเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการผลิตไม้ที่มีคุณภาพสำหรับผู้ใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม[2]

โรงเลื่อยทำงานอย่างไร?

  1. การรับไม้ซุง

    • โรงเลื่อยจะรับไม้ซุงจากแหล่งผลิต เช่น ป่าไม้หรือสวนป่า โดยไม้ที่ได้รับจะถูกตรวจสอบคุณภาพก่อนเข้าสู่กระบวนการแปรรูป

  2. การคัดเลือกและตัดแต่งไม้ซุง

    • ไม้ซุงจะถูกคัดเลือกตามขนาดและคุณภาพ และทำการตัดแต่งให้เหมาะสมกับการเข้าสู่เครื่องเลื่อย

  3. การเลื่อยไม้

    • ใช้เครื่องเลื่อยในการตัดไม้ซุงออกเป็นแผ่นหรือกระดานตามขนาดที่กำหนด กระบวนการนี้ต้องใช้ความแม่นยำสูงเพื่อให้ได้ไม้ที่มีคุณภาพ

  4. การอบแห้งไม้

    • ไม้แปรรูปจะถูกนำไปอบแห้งเพื่อลดความชื้นในเนื้อไม้ ช่วยให้ไม้คงทนและไม่เกิดการบิดงอ

  5. การปรับแต่งและขัดผิวไม้

    • ไม้ที่ผ่านการเลื่อยจะถูกขัดผิวให้เรียบเนียน และปรับแต่งให้ตรงตามมาตรฐานที่กำหนด

  6. การจัดเก็บและขนส่ง

    • ไม้แปรรูปที่เสร็จสมบูรณ์จะถูกจัดเก็บอย่างเหมาะสมก่อนส่งต่อไปยังผู้ใช้ปลายทาง

บทบาทของโรงเลื่อยในอุตสาหกรรมไม้

  1. แปรรูปไม้ซุงให้พร้อมใช้งาน

    • โรงเลื่อยช่วยเปลี่ยนไม้ซุงดิบให้กลายเป็นวัสดุไม้ที่พร้อมสำหรับงานก่อสร้าง งานตกแต่ง หรือการผลิตเฟอร์นิเจอร์

  2. เพิ่มมูลค่าให้กับไม้

    • การแปรรูปในโรงเลื่อยช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับไม้ซุงดิบ เช่น การผลิตไม้ที่มีคุณภาพและขนาดเฉพาะสำหรับงานต่าง ๆ

  3. สนับสนุนอุตสาหกรรมก่อสร้างและตกแต่ง

    • โรงเลื่อยเป็นแหล่งสำคัญในการจัดหาไม้แปรรูปสำหรับการก่อสร้างบ้าน อาคาร หรือการตกแต่งภายใน

  4. ช่วยลดการสูญเสียวัสดุไม้

    • โรงเลื่อยที่มีเทคโนโลยีทันสมัยสามารถลดขยะจากกระบวนการแปรรูป และใช้ทรัพยากรไม้ได้อย่างคุ้มค่า

  5. สนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน

    • โรงเลื่อยในท้องถิ่นช่วยสร้างงานและส่งเสริมเศรษฐกิจในชุมชน รวมถึงเพิ่มโอกาสทางการตลาดให้กับผู้ผลิตไม้

ความสำคัญของโรงเลื่อยที่มีคุณภาพ

  1. คุณภาพของไม้แปรรูป

    • โรงเลื่อยที่มีมาตรฐานสูงช่วยให้ไม้แปรรูปมีคุณภาพดี ทนทาน และตอบโจทย์การใช้งาน

  2. ลดต้นทุนการผลิต

    • โรงเลื่อยที่มีประสิทธิภาพช่วยลดต้นทุนการแปรรูปไม้ และทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ไม้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

  3. การรักษาสิ่งแวดล้อม

    • โรงเลื่อยที่มีการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้เศษไม้ในการผลิตพลังงานหรือผลิตภัณฑ์เสริม

โรงเลื่อย เป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมไม้ที่ช่วยแปรรูปไม้ซุงให้เป็นวัสดุไม้ที่พร้อมใช้งาน ด้วยกระบวนการทำงานที่ทันสมัยและมีคุณภาพ โรงเลื่อยมีบทบาทในการสนับสนุนอุตสาหกรรมก่อสร้าง การตกแต่ง และการผลิตเฟอร์นิเจอร์ นอกจากนี้ โรงเลื่อยที่มีมาตรฐานยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับไม้ และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรไม้อย่างยั่งยืน[2]

การแปรรูปไม้
https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2019/08/DSC05779-1024x576.jpg

กระบวนการทำงานของโรงเลื่อย ตั้งแต่รับไม้ซุงจนถึงการแปรรูป

โรงเลื่อย เป็นสถานที่สำคัญในอุตสาหกรรมไม้ที่ทำหน้าที่แปรรูปไม้ซุงหรือไม้ท่อนให้กลายเป็นไม้แปรรูปพร้อมใช้งาน กระบวนการทำงานในโรงเลื่อยนั้นครอบคลุมตั้งแต่การรับไม้ซุง การตัดเลื่อย การอบแห้ง ไปจนถึงการเตรียมไม้สำหรับจำหน่ายหรือใช้งานในงานก่อสร้างและตกแต่ง ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักขั้นตอนต่าง ๆ ในโรงเลื่อยที่ช่วยสร้างคุณค่าให้กับไม้[3]

1. การรับไม้ซุงและตรวจสอบคุณภาพ

กระบวนการแรกเริ่มต้นที่การรับไม้ซุงจากแหล่งผลิต เช่น ป่าไม้ สวนป่า หรือแหล่งไม้ปลูก ไม้ซุงจะถูกตรวจสอบคุณภาพเบื้องต้น เช่น

  • ความตรงและขนาดของไม้: เพื่อประเมินปริมาณและคุณภาพของไม้แปรรูปที่ได้

  • ความสมบูรณ์ของเนื้อไม้: ตรวจดูว่ามีรอยแตก ร่องรอยแมลง หรือความเสียหายอื่น ๆ หรือไม่

2. การคัดเลือกและตัดแต่งไม้ซุง

ไม้ซุงที่ผ่านการตรวจสอบจะถูกนำมาคัดเลือกและตัดแต่งให้เหมาะสมกับการแปรรูป ขั้นตอนนี้รวมถึง:

  • การลอกเปลือกไม้เพื่อเตรียมเนื้อไม้สำหรับการเลื่อย

  • การตัดไม้ซุงให้มีขนาดพอดีกับเครื่องจักร

3. การเลื่อยไม้

ไม้ซุงจะถูกนำเข้าสู่ เครื่องเลื่อย เพื่อแปรรูปเป็นไม้แผ่นหรือไม้กระดานตามขนาดที่กำหนด กระบวนการนี้ต้องการความแม่นยำสูงเพื่อให้ได้ไม้ที่ตรงและมีความหนาสม่ำเสมอ

  • เครื่องเลื่อยสายพาน: สำหรับการตัดไม้ที่มีขนาดใหญ่

  • เครื่องเลื่อยวงเดือน: ใช้ตัดไม้ให้มีขนาดเล็กลงหรือแปรรูปให้ได้ตามแบบ

4. การอบแห้งไม้

หลังจากเลื่อย ไม้แปรรูปจะยังมีความชื้นตกค้างที่อาจทำให้ไม้บิดงอหรือเสียหายในอนาคต ดังนั้นการอบแห้งจึงเป็นขั้นตอนสำคัญ

  • การอบด้วยความร้อน (Kiln Drying): ลดความชื้นในเนื้อไม้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม (ประมาณ 10-15%)

  • การตากแดด (Air Drying): เป็นวิธีแบบดั้งเดิม ใช้เวลานานแต่ช่วยลดต้นทุน

5. การขัดผิวและปรับแต่งไม้

ไม้ที่ผ่านการอบแห้งจะถูกนำมาขัดผิวเพื่อให้เรียบเนียน และปรับแต่งขนาดเพิ่มเติมตามความต้องการ

  • การขัดด้วยเครื่องขัด: ช่วยให้พื้นผิวไม้เรียบ พร้อมใช้งานในงานตกแต่ง

  • การปรับแต่งขนาด: ตัดแต่งไม้ให้ได้ขนาดมาตรฐาน เช่น ไม้กระดาน ไม้คาน หรือไม้พื้น

6. การตรวจสอบคุณภาพและบรรจุภัณฑ์

ก่อนที่ไม้แปรรูปจะถูกจัดส่ง ไม้แต่ละชิ้นจะต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์มีมาตรฐาน

  • ตรวจสอบความเรียบ ความหนา และการบิดงอของไม้

  • บรรจุไม้แปรรูปให้เหมาะสมกับการขนส่ง เช่น การมัดรวมไม้กระดาน

7. การจัดเก็บและขนส่ง

ไม้แปรรูปจะถูกจัดเก็บในพื้นที่ที่มีการจัดการอย่างดี เพื่อป้องกันความเสียหายระหว่างรอการขนส่ง

  • การเก็บในโกดัง: ป้องกันความชื้นและแมลง

  • การจัดส่ง: ใช้ยานพาหนะที่เหมาะสม เช่น รถบรรทุกสำหรับงานหนัก

บทบาทของกระบวนการในโรงเลื่อย

  1. เพิ่มมูลค่าให้กับไม้ซุง

    • กระบวนการในโรงเลื่อยช่วยเปลี่ยนไม้ซุงให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น เช่น ไม้กระดาน ไม้คาน หรือไม้ตกแต่ง

  2. รองรับความต้องการในอุตสาหกรรมไม้

    • โรงเลื่อยช่วยผลิตไม้แปรรูปที่ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม เช่น งานก่อสร้าง งานเฟอร์นิเจอร์ หรือการตกแต่ง

  3. สร้างความมั่นใจในคุณภาพ

    • กระบวนการตรวจสอบคุณภาพช่วยให้ไม้แปรรูปมีความแข็งแรง ทนทาน และพร้อมใช้งานในระยะยาว

กระบวนการทำงานใน โรงเลื่อย มีความสำคัญต่อการแปรรูปไม้ซุงให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ไม้แปรรูปที่มีคุณภาพและตอบโจทย์การใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่การรับไม้ซุง การเลื่อย การอบแห้ง ไปจนถึงการจัดเก็บและขนส่ง ทุกขั้นตอนล้วนต้องการความละเอียดและการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ โรงเลื่อยจึงเป็นหัวใจสำคัญในห่วงโซ่การผลิตไม้ที่ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจและความยั่งยืนในอุตสาหกรรมไม้[3]

https://www.livinginsider.com/upload/topic1355/63b40a54bd3ef_94716.jpeg

คุณสมบัติของไม้ที่ควรพิจารณาก่อนนำมาแปรรูป

ในกระบวนการผลิตไม้แปรรูป โรงเลื่อย ถือเป็นด่านแรกที่ทำหน้าที่เปลี่ยนไม้ซุงดิบให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ไม้ที่พร้อมใช้งาน คุณภาพของไม้แปรรูปที่ได้ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของไม้ซุงที่นำมาแปรรูป การเลือกไม้ที่เหมาะสมและมีคุณภาพดีไม่เพียงแต่ช่วยลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต แต่ยังเพิ่มมูลค่าและประสิทธิภาพการใช้งานของไม้แปรรูปได้อย่างมาก[2]

คุณสมบัติสำคัญของไม้ที่ควรพิจารณา

1. ความแข็งแรง (Strength)

  • ไม้ที่มีความแข็งแรงเหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องรับน้ำหนัก เช่น เสา คาน และโครงสร้างหลังคา

  • ไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้เต็ง ไม้แดง มักมีความแข็งแรงสูงและทนต่อการรับแรง

2. ความชื้นในเนื้อไม้ (Moisture Content)

  • ความชื้นที่เหมาะสมในเนื้อไม้ควรอยู่ที่ประมาณ 10-15% ก่อนการแปรรูป

  • ไม้ที่มีความชื้นสูงอาจเกิดการบิดงอหรือแตกร้าวเมื่อใช้งาน

3. ความหนาแน่น (Density)

  • ความหนาแน่นของไม้ส่งผลต่อความแข็งแรงและความทนทาน

  • ไม้ที่มีความหนาแน่นสูง เช่น ไม้ประดู่ หรือไม้สัก มักเหมาะสำหรับงานตกแต่งที่ต้องการความคงทน

4. ลวดลายและสีของเนื้อไม้ (Grain and Color)

  • ไม้ที่มีลวดลายสวยงาม เช่น ไม้สักหรือไม้มะค่า มักเป็นที่ต้องการสำหรับงานตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์

  • สีของไม้ควรสม่ำเสมอและไม่มีรอยตำหนิ เช่น รอยแมลงกัดกินหรือเชื้อรา

5. ความทนทานต่อแมลงและเชื้อรา (Durability)

  • ไม้ที่ทนต่อปลวกหรือเชื้อรา เช่น ไม้สักและไม้แดง มีอายุการใช้งานยาวนานกว่า

  • หากไม้ไม่มีคุณสมบัติต้านทานแมลง อาจต้องผ่านการอบน้ำยาหรือเคลือบสารป้องกัน

6. ขนาดและรูปทรงของไม้ซุง (Size and Shape)

  • ไม้ซุงที่มีขนาดใหญ่และตรงช่วยให้แปรรูปได้ง่ายและลดของเสียในกระบวนการผลิต

  • ไม้ที่มีรอยแตกหรือผิดรูปอาจส่งผลต่อคุณภาพของไม้แปรรูป

7. อายุของไม้ (Age)

  • ไม้ที่อายุมากมักมีความแข็งแรงและความหนาแน่นสูงกว่าไม้ที่อายุน้อย

  • อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบว่าไม้ยังไม่เก่าจนเกินไป เพราะอาจเสี่ยงต่อการผุพัง

8. การปลูกและการดูแลก่อนตัดไม้ (Growth Conditions)

  • ไม้จากป่าปลูกมักมีคุณภาพสม่ำเสมอและสามารถควบคุมขนาดได้

  • สภาพแวดล้อมที่ไม้เติบโต เช่น ดิน น้ำ และอากาศ มีผลต่อคุณภาพของไม้

การตรวจสอบไม้ก่อนเข้าสู่โรงเลื่อย

  • การประเมินเบื้องต้น: ตรวจสอบรอยแตก รอยแมลงกัดกิน และตำหนิอื่น ๆ

  • การวัดความชื้น: ใช้เครื่องวัดความชื้น (Moisture Meter) เพื่อประเมินระดับความชื้นของไม้

  • การคัดเกรดไม้: แยกไม้ตามคุณภาพและเกรดเพื่อให้เหมาะสมกับงานที่แตกต่างกัน

ประโยชน์ของการเลือกไม้คุณภาพก่อนแปรรูป

  1. เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต

    • ไม้คุณภาพดีช่วยลดการสูญเสียในระหว่างการแปรรูป และได้ผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานสูง

  2. ลดต้นทุนการผลิต

    • ไม้ที่มีความชื้นเหมาะสมและไม่มีตำหนิช่วยลดความจำเป็นในการปรับปรุงเพิ่มเติม

  3. ยืดอายุการใช้งานของไม้แปรรูป

    • ไม้ที่ผ่านการคัดเลือกอย่างดีมีความทนทานและใช้งานได้ยาวนานกว่า

  4. สร้างความพึงพอใจให้ผู้ใช้งาน

    • ผลิตภัณฑ์ไม้ที่มีคุณภาพตอบโจทย์ทั้งงานโครงสร้างและงานตกแต่ง

การเลือกไม้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมก่อนนำเข้าสู่กระบวนการแปรรูปใน โรงเลื่อย เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ได้ผลิตภัณฑ์ไม้ที่มีคุณภาพสูง พร้อมตอบโจทย์ความต้องการในหลากหลายอุตสาหกรรม คุณสมบัติที่ควรพิจารณา ได้แก่ ความแข็งแรง ความชื้น ความหนาแน่น และความทนทานต่อแมลง การให้ความสำคัญกับการเลือกไม้ที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต และสร้างความมั่นใจในคุณภาพของไม้แปรรูปที่ได้[2]

แปรรูปไม้
https://www.liveabout.com/thmb/gU-cT2vCGGStSA_siHiuZ4YY9j0=/1500x0/filters:no_upscale():max_bytes(150000):strip_icc()/GettyImages-177838599-573907f03df78c6bb00ea986.jpg

เทคนิคการเลื่อยเพื่อแปรรูปไม้ในโรงเลื่อย

การเลื่อยเพื่อแปรรูปไม้ใน โรงเลื่อย เป็นกระบวนการที่สำคัญในการเปลี่ยนไม้ซุงให้กลายเป็นวัสดุที่พร้อมใช้งานในงานก่อสร้าง ตกแต่ง หรือการผลิตเฟอร์นิเจอร์ กระบวนการเลื่อยที่มีเทคนิคและความแม่นยำสูงไม่เพียงแต่ช่วยให้ได้ไม้แปรรูปที่มีคุณภาพ แต่ยังช่วยลดของเสียและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ในบทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับเทคนิคการเลื่อยไม้ที่ใช้ในโรงเลื่อย

1. เลื่อยตามขวาง (Cross Cutting)

  • การเลื่อยตามขวาง คือการตัดไม้ซุงหรือไม้ท่อนตามขวางแกนไม้ (ขนาดสั้น) เพื่อให้ได้ชิ้นไม้ที่มีความยาวสั้นลง เทคนิคนี้มักใช้สำหรับการตัดไม้เพื่อให้ได้ขนาดที่ต้องการสำหรับงานไม้ขนาดเล็กหรือไม้ที่ต้องการใช้งานในระยะสั้น

  • เครื่องมือที่ใช้: เครื่องเลื่อยวงเดือนหรือเครื่องเลื่อยสายพาน

2. เลื่อยตามยาว (Ripping)

  • การเลื่อยตามยาว คือการตัดไม้ซุงหรือไม้ท่อนตามแนวยาว (ตามทิศทางของเส้นลายไม้) เพื่อให้ได้ชิ้นไม้ที่มีความยาวและความกว้างตามที่ต้องการ เทคนิคนี้เหมาะสำหรับการผลิตไม้แผ่นหรือไม้กระดานสำหรับใช้ในงานตกแต่งหรือการก่อสร้าง

  • เครื่องมือที่ใช้: เครื่องเลื่อยสายพานหรือเครื่องเลื่อยวงเดือนที่มีใบเลื่อยขนาดใหญ่

3. การใช้เครื่องเลื่อยสายพาน (Band Saw)

  • เครื่องเลื่อยสายพาน เป็นเครื่องเลื่อยที่ใช้ใบเลื่อยที่มีลักษณะเป็นสายพานติดต่อกัน ซึ่งช่วยให้สามารถเลื่อยไม้ได้อย่างแม่นยำและละเอียด โดยเฉพาะการตัดไม้ที่มีขนาดใหญ่มาก

  • เทคนิคการเลื่อย:

    • ใช้เครื่องเลื่อยสายพานในการตัดไม้ซุงหรือไม้ที่มีความหนาเพื่อให้ได้ความละเอียดสูง

    • สามารถเลื่อยไม้ในมุมที่ต้องการได้ง่าย และสามารถควบคุมทิศทางการเลื่อยได้ดี

4. การเลื่อยเป็นชิ้นบาง (Slabbing)

  • การเลื่อยเป็นชิ้นบาง คือการตัดไม้ให้มีความหนาบางตามที่ต้องการ สำหรับการผลิตไม้แผ่นหรือกระดานบาง เช่น สำหรับงานพื้นหรือเฟอร์นิเจอร์

  • เทคนิคการเลื่อย:

    • ใช้เครื่องเลื่อยวงเดือนหรือเครื่องเลื่อยสายพานเพื่อลดความหนาของไม้ให้ได้ตามขนาดที่ต้องการ

    • ต้องมีการคำนวณและวางแผนการเลื่อยให้เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียไม้

5. เลื่อยไม้ที่มีลวดลาย (Grain Cutting)

  • การเลื่อยไม้ตามลวดลาย คือการตัดไม้ให้ตามลายเส้นธรรมชาติของเนื้อไม้เพื่อให้ได้ไม้ที่มีลวดลายสวยงามและมีคุณภาพสูง

  • เทคนิคการเลื่อย:

    • การเลือกเลื่อยไม้ตามทิศทางลวดลายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้เนื้อไม้ที่ทนทานและไม่แตกง่าย

    • เทคนิคนี้ใช้ในงานที่ต้องการคุณภาพสูง เช่น การผลิตเฟอร์นิเจอร์หรืองานตกแต่ง

6. การเลื่อยไม้ท่อนขนาดใหญ่ (Large Log Cutting)

  • การเลื่อยไม้ท่อนขนาดใหญ่ เป็นการเลื่อยไม้ซุงที่มีขนาดใหญ่ให้กลายเป็นไม้แผ่นหรือไม้กระดานที่มีขนาดเล็กลง

  • เทคนิคการเลื่อย:

    • ใช้เครื่องเลื่อยที่มีขนาดใหญ่และสามารถรองรับไม้ซุงที่มีขนาดใหญ่

    • ต้องควบคุมทิศทางและความเร็วในการเลื่อยอย่างแม่นยำ เพื่อให้ไม้ไม่เสียหายระหว่างกระบวนการ

7. การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมในการเลื่อย

  • การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมในการเลื่อยเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การแปรรูปไม้ใน โรงเลื่อย มีความแม่นยำและประสิทธิภาพสูง

    • เครื่องเลื่อยสายพาน (Band Saw): เหมาะสำหรับการเลื่อยไม้ขนาดใหญ่และสามารถเลื่อยได้ในมุมที่ต้องการ

    • เครื่องเลื่อยวงเดือน (Circular Saw): เหมาะสำหรับการเลื่อยตามยาวหรือขวาง และการตัดไม้ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก

8. การบำรุงรักษาเครื่องเลื่อย

  • เพื่อให้เครื่องเลื่อยทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีอายุการใช้งานยาวนาน ควรมีการบำรุงรักษาเครื่องเลื่อยอย่างสม่ำเสมอ เช่น

    • เช็คใบเลื่อยและทำความสะอาดเครื่อง

    • ตรวจสอบระบบการหมุนของเครื่องให้ทำงานได้อย่างราบรื่น

การเลื่อยไม้ใน โรงเลื่อย เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เทคนิคและความแม่นยำเพื่อให้ได้ไม้แปรรูปที่มีคุณภาพและสามารถใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เทคนิคการเลื่อยที่ถูกต้องจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ลดของเสีย และทำให้ไม้แปรรูปมีความสวยงามและทนทาน การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมและการบำรุงรักษาเครื่องเลื่อยก็เป็นสิ่งสำคัญในการทำงานในโรงเลื่อยให้มีประสิทธิภาพสูงสุด[4]

การแปรรูปไม้
https://www.mattcremona.com/wp-content/uploads/2020/02/8-first-slices.jpg

จะเห็นได้ว่าโรง เลื่อย ไม้ ยางพารา หรือ โรง เลื่อย ไม้ แปรรูปต่าง ๆ นั้นมีหน้าที่นำไม้จริงมาเลื่อยเพื่อแปรรูปไม้ให้ได้ขนาดความหนาและความกว้างตามที่ต้องการ และส่งออกขายให้ลูกค้าต่อไป โดยการแปรรูปไม้จะทำให้ผู้ประกอบการขายไม้ได้ราคาดีขึ้น เพราะไม้แปรรูปที่ได้นั้นสามารถนำไปใช้งานได้ทันที เช่นเดียวกับ TWOMENWOOD โรงไม้ของเรามีสินค้าไม้แปรรูป และไม้เก่าคุณภาพดี พร้อมจำหน่ายและส่งทั่วประเทศไทย สำหรับท่านใดต้องการดูสินค้าด้วยตัวเอง เรามีหน้าร้านไม้เก่าอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี

หมายเหตุ ร้านเรามีไม้หลายประเภทขายไม่ว่าจะเป็น ไม้1.5นิ้ว ไม้2นิ้ว ไม้พื้น-ไม้ระแนง ไม้เสา ไม้ฝา และมีไม้เก่าไทย เช่น ไม้สัก ไม้มะค่า ไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้เนื้อแข็ง สามารถตรวจเช็คราคาได้ทางข้างล่าง

ตรวจสอบราคาสินค้า

อ้างอิง