สินค้า
โรงเลื่อย อุตสาหกรรมไม้ขั้นมูลฐานในการผลิตไม้แปรรูป
กรมป่าไม้กล่าวว่า ในปัจจุบันการแปรรูปไม้ยังคงดำเนินการกันอย่างต่อเนื่อง เพราะไม้เป็นวัสดุจากธรรมชาติที่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย แต่ก่อนจะนำไปใช้งานจำเป็นต้องผ่านกระบวนการแปรรูปก่อน ในกรณีที่ไม่ใช่ไม้หวงห้ามนั้นไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนนำมาแปรรูป ยกเว้นการแปรรูปที่เข้าข่ายลักษณะการตั้ง โรง เลื่อย ไม้ แปรรูป หรือโรงงานแปรรูปไม้ ตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 [1]
โรงเลื่อยคืออะไร? และมีบทบาทอย่างไรในอุตสาหกรรมไม้
โรงเลื่อย คือสถานที่ที่ทำหน้าที่แปรรูปไม้ซุงหรือไม้ท่อนให้เป็นไม้แปรรูปในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ไม้กระดาน ไม้แผ่น ไม้คาน หรือวัสดุไม้ที่พร้อมใช้งานในงานก่อสร้างและตกแต่ง โรงเลื่อยเป็นส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมไม้ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับไม้ซุง และเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการผลิตไม้ที่มีคุณภาพสำหรับผู้ใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม[2]
โรงเลื่อยทำงานอย่างไร?
การรับไม้ซุง
โรงเลื่อยจะรับไม้ซุงจากแหล่งผลิต เช่น ป่าไม้หรือสวนป่า โดยไม้ที่ได้รับจะถูกตรวจสอบคุณภาพก่อนเข้าสู่กระบวนการแปรรูป
การคัดเลือกและตัดแต่งไม้ซุง
ไม้ซุงจะถูกคัดเลือกตามขนาดและคุณภาพ และทำการตัดแต่งให้เหมาะสมกับการเข้าสู่เครื่องเลื่อย
การเลื่อยไม้
ใช้เครื่องเลื่อยในการตัดไม้ซุงออกเป็นแผ่นหรือกระดานตามขนาดที่กำหนด กระบวนการนี้ต้องใช้ความแม่นยำสูงเพื่อให้ได้ไม้ที่มีคุณภาพ
การอบแห้งไม้
ไม้แปรรูปจะถูกนำไปอบแห้งเพื่อลดความชื้นในเนื้อไม้ ช่วยให้ไม้คงทนและไม่เกิดการบิดงอ
การปรับแต่งและขัดผิวไม้
ไม้ที่ผ่านการเลื่อยจะถูกขัดผิวให้เรียบเนียน และปรับแต่งให้ตรงตามมาตรฐานที่กำหนด
การจัดเก็บและขนส่ง
ไม้แปรรูปที่เสร็จสมบูรณ์จะถูกจัดเก็บอย่างเหมาะสมก่อนส่งต่อไปยังผู้ใช้ปลายทาง
บทบาทของโรงเลื่อยในอุตสาหกรรมไม้
แปรรูปไม้ซุงให้พร้อมใช้งาน
โรงเลื่อยช่วยเปลี่ยนไม้ซุงดิบให้กลายเป็นวัสดุไม้ที่พร้อมสำหรับงานก่อสร้าง งานตกแต่ง หรือการผลิตเฟอร์นิเจอร์
เพิ่มมูลค่าให้กับไม้
การแปรรูปในโรงเลื่อยช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับไม้ซุงดิบ เช่น การผลิตไม้ที่มีคุณภาพและขนาดเฉพาะสำหรับงานต่าง ๆ
สนับสนุนอุตสาหกรรมก่อสร้างและตกแต่ง
โรงเลื่อยเป็นแหล่งสำคัญในการจัดหาไม้แปรรูปสำหรับการก่อสร้างบ้าน อาคาร หรือการตกแต่งภายใน
ช่วยลดการสูญเสียวัสดุไม้
โรงเลื่อยที่มีเทคโนโลยีทันสมัยสามารถลดขยะจากกระบวนการแปรรูป และใช้ทรัพยากรไม้ได้อย่างคุ้มค่า
สนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน
โรงเลื่อยในท้องถิ่นช่วยสร้างงานและส่งเสริมเศรษฐกิจในชุมชน รวมถึงเพิ่มโอกาสทางการตลาดให้กับผู้ผลิตไม้
ความสำคัญของโรงเลื่อยที่มีคุณภาพ
คุณภาพของไม้แปรรูป
โรงเลื่อยที่มีมาตรฐานสูงช่วยให้ไม้แปรรูปมีคุณภาพดี ทนทาน และตอบโจทย์การใช้งาน
ลดต้นทุนการผลิต
โรงเลื่อยที่มีประสิทธิภาพช่วยลดต้นทุนการแปรรูปไม้ และทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ไม้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
การรักษาสิ่งแวดล้อม
โรงเลื่อยที่มีการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้เศษไม้ในการผลิตพลังงานหรือผลิตภัณฑ์เสริม
โรงเลื่อย เป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมไม้ที่ช่วยแปรรูปไม้ซุงให้เป็นวัสดุไม้ที่พร้อมใช้งาน ด้วยกระบวนการทำงานที่ทันสมัยและมีคุณภาพ โรงเลื่อยมีบทบาทในการสนับสนุนอุตสาหกรรมก่อสร้าง การตกแต่ง และการผลิตเฟอร์นิเจอร์ นอกจากนี้ โรงเลื่อยที่มีมาตรฐานยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับไม้ และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรไม้อย่างยั่งยืน[2]
กระบวนการทำงานของโรงเลื่อย ตั้งแต่รับไม้ซุงจนถึงการแปรรูป
โรงเลื่อย เป็นสถานที่สำคัญในอุตสาหกรรมไม้ที่ทำหน้าที่แปรรูปไม้ซุงหรือไม้ท่อนให้กลายเป็นไม้แปรรูปพร้อมใช้งาน กระบวนการทำงานในโรงเลื่อยนั้นครอบคลุมตั้งแต่การรับไม้ซุง การตัดเลื่อย การอบแห้ง ไปจนถึงการเตรียมไม้สำหรับจำหน่ายหรือใช้งานในงานก่อสร้างและตกแต่ง ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักขั้นตอนต่าง ๆ ในโรงเลื่อยที่ช่วยสร้างคุณค่าให้กับไม้[3]
1. การรับไม้ซุงและตรวจสอบคุณภาพ
กระบวนการแรกเริ่มต้นที่การรับไม้ซุงจากแหล่งผลิต เช่น ป่าไม้ สวนป่า หรือแหล่งไม้ปลูก ไม้ซุงจะถูกตรวจสอบคุณภาพเบื้องต้น เช่น
ความตรงและขนาดของไม้: เพื่อประเมินปริมาณและคุณภาพของไม้แปรรูปที่ได้
ความสมบูรณ์ของเนื้อไม้: ตรวจดูว่ามีรอยแตก ร่องรอยแมลง หรือความเสียหายอื่น ๆ หรือไม่
2. การคัดเลือกและตัดแต่งไม้ซุง
ไม้ซุงที่ผ่านการตรวจสอบจะถูกนำมาคัดเลือกและตัดแต่งให้เหมาะสมกับการแปรรูป ขั้นตอนนี้รวมถึง:
การลอกเปลือกไม้เพื่อเตรียมเนื้อไม้สำหรับการเลื่อย
การตัดไม้ซุงให้มีขนาดพอดีกับเครื่องจักร
3. การเลื่อยไม้
ไม้ซุงจะถูกนำเข้าสู่ เครื่องเลื่อย เพื่อแปรรูปเป็นไม้แผ่นหรือไม้กระดานตามขนาดที่กำหนด กระบวนการนี้ต้องการความแม่นยำสูงเพื่อให้ได้ไม้ที่ตรงและมีความหนาสม่ำเสมอ
เครื่องเลื่อยสายพาน: สำหรับการตัดไม้ที่มีขนาดใหญ่
เครื่องเลื่อยวงเดือน: ใช้ตัดไม้ให้มีขนาดเล็กลงหรือแปรรูปให้ได้ตามแบบ
4. การอบแห้งไม้
หลังจากเลื่อย ไม้แปรรูปจะยังมีความชื้นตกค้างที่อาจทำให้ไม้บิดงอหรือเสียหายในอนาคต ดังนั้นการอบแห้งจึงเป็นขั้นตอนสำคัญ
การอบด้วยความร้อน (Kiln Drying): ลดความชื้นในเนื้อไม้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม (ประมาณ 10-15%)
การตากแดด (Air Drying): เป็นวิธีแบบดั้งเดิม ใช้เวลานานแต่ช่วยลดต้นทุน
5. การขัดผิวและปรับแต่งไม้
ไม้ที่ผ่านการอบแห้งจะถูกนำมาขัดผิวเพื่อให้เรียบเนียน และปรับแต่งขนาดเพิ่มเติมตามความต้องการ
การขัดด้วยเครื่องขัด: ช่วยให้พื้นผิวไม้เรียบ พร้อมใช้งานในงานตกแต่ง
การปรับแต่งขนาด: ตัดแต่งไม้ให้ได้ขนาดมาตรฐาน เช่น ไม้กระดาน ไม้คาน หรือไม้พื้น
6. การตรวจสอบคุณภาพและบรรจุภัณฑ์
ก่อนที่ไม้แปรรูปจะถูกจัดส่ง ไม้แต่ละชิ้นจะต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์มีมาตรฐาน
ตรวจสอบความเรียบ ความหนา และการบิดงอของไม้
บรรจุไม้แปรรูปให้เหมาะสมกับการขนส่ง เช่น การมัดรวมไม้กระดาน
7. การจัดเก็บและขนส่ง
ไม้แปรรูปจะถูกจัดเก็บในพื้นที่ที่มีการจัดการอย่างดี เพื่อป้องกันความเสียหายระหว่างรอการขนส่ง
การเก็บในโกดัง: ป้องกันความชื้นและแมลง
การจัดส่ง: ใช้ยานพาหนะที่เหมาะสม เช่น รถบรรทุกสำหรับงานหนัก
บทบาทของกระบวนการในโรงเลื่อย
เพิ่มมูลค่าให้กับไม้ซุง
กระบวนการในโรงเลื่อยช่วยเปลี่ยนไม้ซุงให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น เช่น ไม้กระดาน ไม้คาน หรือไม้ตกแต่ง
รองรับความต้องการในอุตสาหกรรมไม้
โรงเลื่อยช่วยผลิตไม้แปรรูปที่ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม เช่น งานก่อสร้าง งานเฟอร์นิเจอร์ หรือการตกแต่ง
สร้างความมั่นใจในคุณภาพ
กระบวนการตรวจสอบคุณภาพช่วยให้ไม้แปรรูปมีความแข็งแรง ทนทาน และพร้อมใช้งานในระยะยาว
กระบวนการทำงานใน โรงเลื่อย มีความสำคัญต่อการแปรรูปไม้ซุงให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ไม้แปรรูปที่มีคุณภาพและตอบโจทย์การใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่การรับไม้ซุง การเลื่อย การอบแห้ง ไปจนถึงการจัดเก็บและขนส่ง ทุกขั้นตอนล้วนต้องการความละเอียดและการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ โรงเลื่อยจึงเป็นหัวใจสำคัญในห่วงโซ่การผลิตไม้ที่ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจและความยั่งยืนในอุตสาหกรรมไม้[3]
คุณสมบัติของไม้ที่ควรพิจารณาก่อนนำมาแปรรูป
ในกระบวนการผลิตไม้แปรรูป โรงเลื่อย ถือเป็นด่านแรกที่ทำหน้าที่เปลี่ยนไม้ซุงดิบให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ไม้ที่พร้อมใช้งาน คุณภาพของไม้แปรรูปที่ได้ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของไม้ซุงที่นำมาแปรรูป การเลือกไม้ที่เหมาะสมและมีคุณภาพดีไม่เพียงแต่ช่วยลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต แต่ยังเพิ่มมูลค่าและประสิทธิภาพการใช้งานของไม้แปรรูปได้อย่างมาก[2]
คุณสมบัติสำคัญของไม้ที่ควรพิจารณา
1. ความแข็งแรง (Strength)
ไม้ที่มีความแข็งแรงเหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องรับน้ำหนัก เช่น เสา คาน และโครงสร้างหลังคา
ไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้เต็ง ไม้แดง มักมีความแข็งแรงสูงและทนต่อการรับแรง
2. ความชื้นในเนื้อไม้ (Moisture Content)
ความชื้นที่เหมาะสมในเนื้อไม้ควรอยู่ที่ประมาณ 10-15% ก่อนการแปรรูป
ไม้ที่มีความชื้นสูงอาจเกิดการบิดงอหรือแตกร้าวเมื่อใช้งาน
3. ความหนาแน่น (Density)
ความหนาแน่นของไม้ส่งผลต่อความแข็งแรงและความทนทาน
ไม้ที่มีความหนาแน่นสูง เช่น ไม้ประดู่ หรือไม้สัก มักเหมาะสำหรับงานตกแต่งที่ต้องการความคงทน
4. ลวดลายและสีของเนื้อไม้ (Grain and Color)
ไม้ที่มีลวดลายสวยงาม เช่น ไม้สักหรือไม้มะค่า มักเป็นที่ต้องการสำหรับงานตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์
สีของไม้ควรสม่ำเสมอและไม่มีรอยตำหนิ เช่น รอยแมลงกัดกินหรือเชื้อรา
5. ความทนทานต่อแมลงและเชื้อรา (Durability)
ไม้ที่ทนต่อปลวกหรือเชื้อรา เช่น ไม้สักและไม้แดง มีอายุการใช้งานยาวนานกว่า
หากไม้ไม่มีคุณสมบัติต้านทานแมลง อาจต้องผ่านการอบน้ำยาหรือเคลือบสารป้องกัน
6. ขนาดและรูปทรงของไม้ซุง (Size and Shape)
ไม้ซุงที่มีขนาดใหญ่และตรงช่วยให้แปรรูปได้ง่ายและลดของเสียในกระบวนการผลิต
ไม้ที่มีรอยแตกหรือผิดรูปอาจส่งผลต่อคุณภาพของไม้แปรรูป
7. อายุของไม้ (Age)
ไม้ที่อายุมากมักมีความแข็งแรงและความหนาแน่นสูงกว่าไม้ที่อายุน้อย
อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบว่าไม้ยังไม่เก่าจนเกินไป เพราะอาจเสี่ยงต่อการผุพัง
8. การปลูกและการดูแลก่อนตัดไม้ (Growth Conditions)
ไม้จากป่าปลูกมักมีคุณภาพสม่ำเสมอและสามารถควบคุมขนาดได้
สภาพแวดล้อมที่ไม้เติบโต เช่น ดิน น้ำ และอากาศ มีผลต่อคุณภาพของไม้
การตรวจสอบไม้ก่อนเข้าสู่โรงเลื่อย
การประเมินเบื้องต้น: ตรวจสอบรอยแตก รอยแมลงกัดกิน และตำหนิอื่น ๆ
การวัดความชื้น: ใช้เครื่องวัดความชื้น (Moisture Meter) เพื่อประเมินระดับความชื้นของไม้
การคัดเกรดไม้: แยกไม้ตามคุณภาพและเกรดเพื่อให้เหมาะสมกับงานที่แตกต่างกัน
ประโยชน์ของการเลือกไม้คุณภาพก่อนแปรรูป
เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต
ไม้คุณภาพดีช่วยลดการสูญเสียในระหว่างการแปรรูป และได้ผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานสูง
ลดต้นทุนการผลิต
ไม้ที่มีความชื้นเหมาะสมและไม่มีตำหนิช่วยลดความจำเป็นในการปรับปรุงเพิ่มเติม
ยืดอายุการใช้งานของไม้แปรรูป
ไม้ที่ผ่านการคัดเลือกอย่างดีมีความทนทานและใช้งานได้ยาวนานกว่า
สร้างความพึงพอใจให้ผู้ใช้งาน
ผลิตภัณฑ์ไม้ที่มีคุณภาพตอบโจทย์ทั้งงานโครงสร้างและงานตกแต่ง
การเลือกไม้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมก่อนนำเข้าสู่กระบวนการแปรรูปใน โรงเลื่อย เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ได้ผลิตภัณฑ์ไม้ที่มีคุณภาพสูง พร้อมตอบโจทย์ความต้องการในหลากหลายอุตสาหกรรม คุณสมบัติที่ควรพิจารณา ได้แก่ ความแข็งแรง ความชื้น ความหนาแน่น และความทนทานต่อแมลง การให้ความสำคัญกับการเลือกไม้ที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต และสร้างความมั่นใจในคุณภาพของไม้แปรรูปที่ได้[2]
เทคนิคการเลื่อยเพื่อแปรรูปไม้ในโรงเลื่อย
การเลื่อยเพื่อแปรรูปไม้ใน โรงเลื่อย เป็นกระบวนการที่สำคัญในการเปลี่ยนไม้ซุงให้กลายเป็นวัสดุที่พร้อมใช้งานในงานก่อสร้าง ตกแต่ง หรือการผลิตเฟอร์นิเจอร์ กระบวนการเลื่อยที่มีเทคนิคและความแม่นยำสูงไม่เพียงแต่ช่วยให้ได้ไม้แปรรูปที่มีคุณภาพ แต่ยังช่วยลดของเสียและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ในบทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับเทคนิคการเลื่อยไม้ที่ใช้ในโรงเลื่อย
1. เลื่อยตามขวาง (Cross Cutting)
การเลื่อยตามขวาง คือการตัดไม้ซุงหรือไม้ท่อนตามขวางแกนไม้ (ขนาดสั้น) เพื่อให้ได้ชิ้นไม้ที่มีความยาวสั้นลง เทคนิคนี้มักใช้สำหรับการตัดไม้เพื่อให้ได้ขนาดที่ต้องการสำหรับงานไม้ขนาดเล็กหรือไม้ที่ต้องการใช้งานในระยะสั้น
เครื่องมือที่ใช้: เครื่องเลื่อยวงเดือนหรือเครื่องเลื่อยสายพาน
2. เลื่อยตามยาว (Ripping)
การเลื่อยตามยาว คือการตัดไม้ซุงหรือไม้ท่อนตามแนวยาว (ตามทิศทางของเส้นลายไม้) เพื่อให้ได้ชิ้นไม้ที่มีความยาวและความกว้างตามที่ต้องการ เทคนิคนี้เหมาะสำหรับการผลิตไม้แผ่นหรือไม้กระดานสำหรับใช้ในงานตกแต่งหรือการก่อสร้าง
เครื่องมือที่ใช้: เครื่องเลื่อยสายพานหรือเครื่องเลื่อยวงเดือนที่มีใบเลื่อยขนาดใหญ่
3. การใช้เครื่องเลื่อยสายพาน (Band Saw)
เครื่องเลื่อยสายพาน เป็นเครื่องเลื่อยที่ใช้ใบเลื่อยที่มีลักษณะเป็นสายพานติดต่อกัน ซึ่งช่วยให้สามารถเลื่อยไม้ได้อย่างแม่นยำและละเอียด โดยเฉพาะการตัดไม้ที่มีขนาดใหญ่มาก
เทคนิคการเลื่อย:
ใช้เครื่องเลื่อยสายพานในการตัดไม้ซุงหรือไม้ที่มีความหนาเพื่อให้ได้ความละเอียดสูง
สามารถเลื่อยไม้ในมุมที่ต้องการได้ง่าย และสามารถควบคุมทิศทางการเลื่อยได้ดี
4. การเลื่อยเป็นชิ้นบาง (Slabbing)
การเลื่อยเป็นชิ้นบาง คือการตัดไม้ให้มีความหนาบางตามที่ต้องการ สำหรับการผลิตไม้แผ่นหรือกระดานบาง เช่น สำหรับงานพื้นหรือเฟอร์นิเจอร์
เทคนิคการเลื่อย:
ใช้เครื่องเลื่อยวงเดือนหรือเครื่องเลื่อยสายพานเพื่อลดความหนาของไม้ให้ได้ตามขนาดที่ต้องการ
ต้องมีการคำนวณและวางแผนการเลื่อยให้เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียไม้
5. เลื่อยไม้ที่มีลวดลาย (Grain Cutting)
การเลื่อยไม้ตามลวดลาย คือการตัดไม้ให้ตามลายเส้นธรรมชาติของเนื้อไม้เพื่อให้ได้ไม้ที่มีลวดลายสวยงามและมีคุณภาพสูง
เทคนิคการเลื่อย:
การเลือกเลื่อยไม้ตามทิศทางลวดลายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้เนื้อไม้ที่ทนทานและไม่แตกง่าย
เทคนิคนี้ใช้ในงานที่ต้องการคุณภาพสูง เช่น การผลิตเฟอร์นิเจอร์หรืองานตกแต่ง
6. การเลื่อยไม้ท่อนขนาดใหญ่ (Large Log Cutting)
การเลื่อยไม้ท่อนขนาดใหญ่ เป็นการเลื่อยไม้ซุงที่มีขนาดใหญ่ให้กลายเป็นไม้แผ่นหรือไม้กระดานที่มีขนาดเล็กลง
เทคนิคการเลื่อย:
ใช้เครื่องเลื่อยที่มีขนาดใหญ่และสามารถรองรับไม้ซุงที่มีขนาดใหญ่
ต้องควบคุมทิศทางและความเร็วในการเลื่อยอย่างแม่นยำ เพื่อให้ไม้ไม่เสียหายระหว่างกระบวนการ
7. การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมในการเลื่อย
การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมในการเลื่อยเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การแปรรูปไม้ใน โรงเลื่อย มีความแม่นยำและประสิทธิภาพสูง
เครื่องเลื่อยสายพาน (Band Saw): เหมาะสำหรับการเลื่อยไม้ขนาดใหญ่และสามารถเลื่อยได้ในมุมที่ต้องการ
เครื่องเลื่อยวงเดือน (Circular Saw): เหมาะสำหรับการเลื่อยตามยาวหรือขวาง และการตัดไม้ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก
8. การบำรุงรักษาเครื่องเลื่อย
เพื่อให้เครื่องเลื่อยทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีอายุการใช้งานยาวนาน ควรมีการบำรุงรักษาเครื่องเลื่อยอย่างสม่ำเสมอ เช่น
เช็คใบเลื่อยและทำความสะอาดเครื่อง
ตรวจสอบระบบการหมุนของเครื่องให้ทำงานได้อย่างราบรื่น
การเลื่อยไม้ใน โรงเลื่อย เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เทคนิคและความแม่นยำเพื่อให้ได้ไม้แปรรูปที่มีคุณภาพและสามารถใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เทคนิคการเลื่อยที่ถูกต้องจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ลดของเสีย และทำให้ไม้แปรรูปมีความสวยงามและทนทาน การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมและการบำรุงรักษาเครื่องเลื่อยก็เป็นสิ่งสำคัญในการทำงานในโรงเลื่อยให้มีประสิทธิภาพสูงสุด[4]
จะเห็นได้ว่าโรง เลื่อย ไม้ ยางพารา หรือ โรง เลื่อย ไม้ แปรรูปต่าง ๆ นั้นมีหน้าที่นำไม้จริงมาเลื่อยเพื่อแปรรูปไม้ให้ได้ขนาดความหนาและความกว้างตามที่ต้องการ และส่งออกขายให้ลูกค้าต่อไป โดยการแปรรูปไม้จะทำให้ผู้ประกอบการขายไม้ได้ราคาดีขึ้น เพราะไม้แปรรูปที่ได้นั้นสามารถนำไปใช้งานได้ทันที เช่นเดียวกับ TWOMENWOOD โรงไม้ของเรามีสินค้าไม้แปรรูป และไม้เก่าคุณภาพดี พร้อมจำหน่ายและส่งทั่วประเทศไทย สำหรับท่านใดต้องการดูสินค้าด้วยตัวเอง เรามีหน้าร้านไม้เก่าอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี
หมายเหตุ ร้านเรามีไม้หลายประเภทขายไม่ว่าจะเป็น ไม้1.5นิ้ว ไม้2นิ้ว ไม้พื้น-ไม้ระแนง ไม้เสา ไม้ฝา และมีไม้เก่าไทย เช่น ไม้สัก ไม้มะค่า ไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้เนื้อแข็ง สามารถตรวจเช็คราคาได้ทางข้างล่าง