
สินค้า

เพลาะไม้คืออะไร? ความสำคัญและบทบาทในงานไม้
เพลาะไม้ คือกระบวนการต่อไม้หลายชิ้นเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้ชิ้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น แข็งแรง และเรียบเนียน ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในงานไม้ที่ต้องการความละเอียดอ่อนและความแข็งแรง เช่น งานเฟอร์นิเจอร์ งานตกแต่งภายใน และงานก่อสร้างที่ใช้ไม้เป็นวัสดุหลัก[1]
ความสำคัญของการเพลาะไม้
การเพลาะไม้มีบทบาทสำคัญในงานไม้ เนื่องจากช่วยแก้ไขข้อจำกัดของไม้ชิ้นเล็ก และเพิ่มความสวยงามและคุณสมบัติที่เหมาะสมสำหรับงานต่าง ๆ ดังนี้:
เพิ่มขนาดของไม้
การเพลาะไม้ช่วยให้สามารถประกอบไม้ชิ้นเล็ก ๆ ให้กลายเป็นแผ่นไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้ทำโต๊ะ ตู้ หรือพื้นไม้ที่ต้องการความกว้างหรือยาวเกินกว่าขนาดไม้ธรรมชาติเพิ่มความแข็งแรงของโครงสร้าง
การเพลาะไม้ช่วยเสริมความแข็งแรงของไม้ โดยเฉพาะเมื่อใช้เทคนิคที่เหมาะสม เช่น การใช้กาวคุณภาพดีหรือการจัดเรียงไม้ให้มีทิศทางเส้นใยที่เข้ากันลดการโก่งตัวและการหดตัวของไม้
การเพลาะไม้ช่วยลดปัญหาการโก่งตัวหรือการหดตัวของไม้ ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อใช้ไม้แผ่นเดียว เนื่องจากการเพลาะช่วยกระจายแรงดึงของไม้แต่ละชิ้นเพิ่มความสวยงาม
การเพลาะไม้ช่วยสร้างลวดลายที่สวยงามจากการเลือกไม้ที่มีสีและลวดลายที่เข้ากัน ทำให้งานไม้ดูโดดเด่นและมีเอกลักษณ์
บทบาทของการเพลาะไม้ในงานไม้
งานเฟอร์นิเจอร์
การเพลาะไม้เป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างเฟอร์นิเจอร์ เช่น โต๊ะ ตู้ เตียง และเก้าอี้ เพื่อให้ได้โครงสร้างที่แข็งแรงและมีความสวยงามงานตกแต่งภายใน
เพลาะไม้ถูกใช้ในงานตกแต่งภายใน เช่น พื้นไม้ ผนังไม้ หรือแผงไม้ตกแต่ง เพื่อเพิ่มความหรูหราและสร้างบรรยากาศธรรมชาติให้กับพื้นที่งานโครงสร้างไม้
การเพลาะไม้มีบทบาทในงานก่อสร้าง เช่น การสร้างโครงสร้างบ้านหรือโครงสร้างที่ต้องการความมั่นคง แข็งแรง และทนทานการรีไซเคิลไม้
เพลาะไม้ช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับไม้เหลือใช้หรือเศษไม้เล็ก ๆ โดยการนำมาประกอบกันใหม่เป็นชิ้นไม้ขนาดใหญ่ ลดปัญหาการสูญเสียทรัพยากร
เพลาะไม้ เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยเพิ่มขนาด ความแข็งแรง และความสวยงามให้กับไม้ นอกจากนี้ยังช่วยลดการใช้ทรัพยากรไม้ใหม่และเพิ่มคุณค่าให้กับเศษไม้ การเพลาะไม้จึงมีบทบาทอย่างมากในงานไม้ ทั้งในด้านการสร้างสรรค์งานเฟอร์นิเจอร์ งานตกแต่งภายใน และงานก่อสร้าง[1]

ประเภทของการเพลาะไม้และลักษณะการใช้งาน
เพลาะไม้ เป็นกระบวนการที่ช่วยเพิ่มขนาดและความแข็งแรงของชิ้นไม้ โดยการต่อไม้หลายชิ้นเข้าด้วยกันให้เป็นแผ่นเดียวหรือโครงสร้างที่ใหญ่ขึ้น การเพลาะไม้นั้นมีหลากหลายประเภท ซึ่งแต่ละแบบมีลักษณะเฉพาะตัวและเหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกัน[2]
ประเภทของการเพลาะไม้
การเพลาะไม้แบบต่อขอบ (Edge Joint)
ลักษณะ: เป็นการต่อไม้ด้านข้างหรือขอบไม้ให้ติดกันเพื่อสร้างแผ่นไม้ขนาดใหญ่
การใช้งาน: เหมาะสำหรับการทำโต๊ะ ตู้ ชั้นวางของ และแผงไม้ที่ต้องการพื้นผิวเรียบ
การเพลาะไม้แบบเข้าลิ่ม (Biscuit Joint)
ลักษณะ: ใช้ลิ่มไม้ (Biscuit) ในการเชื่อมต่อระหว่างไม้สองชิ้น โดยฝังลิ่มเข้าไปในร่องของไม้ทั้งสองด้านก่อนติดกาว
การใช้งาน: นิยมใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์ เช่น ประตู ตู้ หรือแผ่นไม้ที่ต้องการความแข็งแรง
การเพลาะไม้แบบฟิงเกอร์จอยน์ (Finger Joint)
ลักษณะ: การต่อไม้ด้วยวิธีการเซาะร่องให้เป็นฟันปลาต่อกัน คล้ายกับนิ้วมือที่ประสานกัน
การใช้งาน: เหมาะสำหรับการทำไม้แผ่นยาว เช่น กรอบหน้าต่าง ประตู หรือชิ้นส่วนโครงสร้างไม้
การเพลาะไม้แบบเดือยและร่องเดือย (Mortise and Tenon Joint)
ลักษณะ: ใช้เดือยเสียบเข้าไปในร่องเดือยของไม้ชิ้นอื่นเพื่อให้เกิดการยึดติดที่แข็งแรง
การใช้งาน: นิยมในงานโครงสร้าง เช่น โครงโต๊ะ โครงเก้าอี้ และงานที่ต้องการความแข็งแรงสูง
การเพลาะไม้แบบประกบซ้อน (Lap Joint)
ลักษณะ: เป็นการประกบไม้ให้ซ้อนกันบางส่วนเพื่อเพิ่มพื้นที่สัมผัสสำหรับการยึด
การใช้งาน: ใช้ในงานที่ต้องการเพิ่มความแข็งแรง เช่น โครงหลังคา หรือโครงสร้างรองรับน้ำหนัก
การเพลาะไม้แบบลิ้นและร่อง (Tongue and Groove Joint)
ลักษณะ: การต่อไม้ที่ใช้ลิ้นและร่องสำหรับสอดเข้าด้วยกัน
การใช้งาน: เหมาะสำหรับงานพื้นไม้ ผนังไม้ หรือแผ่นไม้ตกแต่ง
ลักษณะการใช้งานที่เหมาะสม
การเลือกประเภทของการเพลาะไม้ขึ้นอยู่กับลักษณะงานและความต้องการ เช่น:
งานตกแต่งภายใน: ควรเลือกการเพลาะไม้ที่ช่วยเพิ่มความสวยงาม เช่น แบบลิ้นและร่อง
งานเฟอร์นิเจอร์: การเพลาะไม้แบบเดือยและร่องเดือยหรือฟิงเกอร์จอยน์เหมาะสมที่สุดเพราะให้ความแข็งแรง
งานโครงสร้าง: ใช้การเพลาะไม้แบบประกบซ้อนหรือเดือยและร่องเดือย เพื่อรองรับน้ำหนัก
ข้อควรระวังในการเลือกประเภทการเพลาะไม้
ควรเลือกประเภทการเพลาะไม้ให้เหมาะกับงานและความต้องการ
ใช้กาวและเครื่องมือที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของรอยต่อ
ตรวจสอบความเรียบและความแนบสนิทของชิ้นไม้ก่อนการเพลาะ
ประเภทของการเพลาะไม้ มีหลากหลายรูปแบบ แต่ละประเภทมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน การเลือกใช้เทคนิคการเพลาะไม้ที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มความแข็งแรง ความสวยงาม และประสิทธิภาพของชิ้นงานไม้นั้น ๆ ได้อย่างลงตัว[2]

ขั้นตอนการเพลาะไม้ด้วยตัวเอง
การเพลาะไม้ เป็นวิธีการต่อไม้หลายชิ้นเข้าด้วยกันเพื่อสร้างชิ้นไม้ที่ใหญ่ขึ้น แข็งแรง และเหมาะสำหรับการใช้งานในงานเฟอร์นิเจอร์และโครงสร้าง การเพลาะไม้นั้นสามารถทำได้ด้วยตัวเองหากมีเครื่องมือและความรู้เบื้องต้นที่เหมาะสม[1]
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่จำเป็น
ไม้สำหรับเพลาะ: เลือกไม้ที่มีความยาวและความหนาใกล้เคียงกัน
เครื่องไสไม้: สำหรับปรับผิวไม้ให้เรียบเสมอกัน
กาวไม้: เพื่อเพิ่มความยึดติดระหว่างไม้
แคลมป์ (Clamp): ใช้บีบอัดไม้ให้แน่นขณะรอกาวแห้ง
เลื่อยหรือเครื่องเซาะร่อง: สำหรับสร้างร่องหรือเดือยในการเพลาะ
เครื่องขัดไม้: สำหรับขัดผิวไม้ให้เรียบเนียนหลังการเพลาะ
ขั้นตอนการเพลาะไม้ด้วยตัวเอง
1. เตรียมไม้และตรวจสอบความเรียบ
เลือกไม้ที่มีขนาดและชนิดเดียวกันเพื่อลดความแตกต่างของเส้นใยและความหนาแน่น
ใช้เครื่องไสไม้หรือกระดาษทรายปรับผิวไม้ให้เรียบเสมอกัน เพื่อให้การประกบติดแนบสนิท
2. เลือกประเภทการเพลาะไม้ที่เหมาะสม
สำหรับงานทั่วไป: ใช้การเพลาะแบบต่อขอบ (Edge Joint)
สำหรับงานที่ต้องการความแข็งแรง: ใช้การเพลาะแบบเดือยและร่องเดือย (Mortise and Tenon Joint)
สำหรับงานตกแต่ง: ใช้การเพลาะแบบฟิงเกอร์จอยน์หรือแบบลิ้นและร่อง
3. เซาะร่องหรือทำเดือย (ถ้าจำเป็น)
หากใช้เทคนิคเดือยและร่องเดือย ให้ใช้เครื่องเซาะร่องหรือเลื่อยในการสร้างร่องและเดือยให้พอดีกัน
ตรวจสอบให้เดือยและร่องแนบสนิท ไม่มีช่องว่าง
4. ทากาวไม้
ทากาวไม้ในจุดเชื่อมต่อ โดยเฉพาะบริเวณขอบหรือร่องเดือย
กระจายกาวให้สม่ำเสมอเพื่อการยึดติดที่แข็งแรง
5. ประกบไม้เข้าด้วยกัน
นำไม้แต่ละชิ้นมาประกบเข้าด้วยกันตามเทคนิคที่เลือก เช่น เดือยและร่อง หรือการต่อขอบ
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม้เรียงตัวตรงและแนบสนิท
6. บีบอัดไม้ด้วยแคลมป์
ใช้แคลมป์บีบอัดไม้ให้แน่นหนาเพื่อป้องกันไม่ให้ไม้เคลื่อนที่ในระหว่างที่กาวแห้ง
รอประมาณ 24 ชั่วโมง หรือดูตามคำแนะนำของกาวไม้ที่ใช้
7. ขัดผิวไม้ให้เรียบ
หลังจากกาวแห้งสนิท ใช้เครื่องขัดไม้หรือกระดาษทรายขัดผิวให้เรียบเนียน
ขจัดรอยต่อหรือส่วนที่ไม่สม่ำเสมอ
8. เคลือบผิวไม้ (ถ้าจำเป็น)
หากต้องการความสวยงามเพิ่มเติม สามารถทาน้ำมันไม้หรือเคลือบผิวด้วยสารเคลือบเพื่อป้องกันความชื้นและเพิ่มความเงางาม
เคล็ดลับสำหรับการเพลาะไม้
เลือกกาวไม้ที่เหมาะกับชนิดของไม้ที่ใช้
ใช้แคลมป์ในจำนวนที่เพียงพอ เพื่อให้แรงบีบกระจายตัวสม่ำเสมอ
ทดสอบประกบไม้ก่อนทากาวเพื่อดูความแนบสนิท
การเพลาะไม้ด้วยตัวเองอาจดูซับซ้อนในตอนแรก แต่หากมีเครื่องมือที่เหมาะสมและปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้อง จะช่วยให้ได้งานไม้ที่แข็งแรงและมีคุณภาพสูง การเพลาะไม้เป็นทักษะที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับงานตกแต่งภายในและงานโครงสร้างไม้[1]

ประโยชน์ของการเพลาะไม้
เพลาะไม้ คือกระบวนการต่อไม้หลายชิ้นเข้าด้วยกันเพื่อสร้างแผ่นไม้หรือชิ้นงานขนาดใหญ่ขึ้น กระบวนการนี้เป็นที่นิยมในงานไม้หลากหลายประเภท เช่น การผลิตเฟอร์นิเจอร์ งานตกแต่งบ้าน และงานโครงสร้าง โดยมีประโยชน์หลายประการที่ช่วยเพิ่มความคุ้มค่าและประสิทธิภาพในการใช้งานไม้[2]
1. เพิ่มขนาดและความแข็งแรงของไม้
การเพลาะไม้ช่วยให้สามารถสร้างแผ่นไม้ขนาดใหญ่หรือยาวขึ้นจากชิ้นไม้เล็ก ๆ ทำให้เหมาะสำหรับงานที่ต้องการไม้ขนาดพิเศษ เช่น โต๊ะยาวหรือบานประตู
เมื่อเพลาะไม้ด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงและลดโอกาสที่ไม้จะแตกหัก
2. ใช้ไม้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เศษไม้หรือไม้ชิ้นเล็กที่เหลือจากการผลิตสามารถนำมาเพลาะรวมกันได้ ช่วยลดของเสียและเพิ่มความคุ้มค่าในการใช้ทรัพยากรไม้
เป็นวิธีที่ช่วยอนุรักษ์ไม้และลดการตัดไม้ใหม่
3. เพิ่มความสวยงามของชิ้นงาน
การเพลาะไม้ที่ดีสามารถสร้างลวดลายธรรมชาติบนแผ่นไม้ได้ เช่น ลายสลับหรือลายขั้นบันได เพิ่มมิติและความน่าสนใจให้กับชิ้นงาน
ช่วยสร้างชิ้นงานที่ดูเรียบเนียนและเป็นเอกลักษณ์
4. ลดข้อจำกัดของการใช้ไม้ขนาดใหญ่
ไม้ชิ้นใหญ่มีราคาสูงและหายาก การเพลาะไม้ช่วยลดต้นทุนโดยใช้ไม้ขนาดเล็กมาประกอบกัน
ช่วยให้สามารถเลือกใช้ไม้จากแหล่งที่หาได้ง่ายกว่า
5. เพิ่มความยืดหยุ่นในการออกแบบ
การเพลาะไม้เปิดโอกาสให้นักออกแบบสร้างสรรค์งานไม้ที่หลากหลาย เช่น เฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการรูปทรงเฉพาะ
สามารถออกแบบไม้ให้เข้ากับลักษณะงานทั้งในด้านโครงสร้างและตกแต่ง
6. ปรับปรุงคุณภาพไม้
การเพลาะไม้ช่วยลดปัญหาการบิดงอของไม้ธรรมชาติ โดยเฉพาะหากเลือกไม้ที่ผ่านการอบแห้งและปรับความชื้นแล้ว
ช่วยให้ชิ้นงานมีความคงทนและใช้งานได้นานขึ้น
ตัวอย่างงานที่นิยมใช้การเพลาะไม้
เฟอร์นิเจอร์: โต๊ะ เก้าอี้ ตู้
งานตกแต่ง: ผนังไม้ บานประตู
งานโครงสร้าง: คานไม้ บันได
การเพลาะไม้เป็นกระบวนการที่มีประโยชน์ทั้งในด้านการเพิ่มความแข็งแรง ลดของเสีย และเพิ่มความสวยงามให้กับชิ้นงานไม้ นอกจากนี้ยังช่วยลดข้อจำกัดในการใช้งานไม้ขนาดใหญ่และเพิ่มความยืดหยุ่นในงานออกแบบ ดังนั้น หากคุณต้องการใช้งานไม้ที่คุ้มค่าและตอบโจทย์ความต้องการ การเพลาะไม้ถือเป็นทางเลือกที่ดีอย่างยิ่ง[2]

ข้อดีและข้อเสียของการเพลาะไม้ในงานไม้
เพลาะไม้ เป็นกระบวนการที่ใช้ในการต่อไม้หลายชิ้นเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ไม้ที่ใหญ่ขึ้นและเหมาะสำหรับงานโครงสร้าง งานตกแต่ง หรือเฟอร์นิเจอร์ กระบวนการนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนลงมือทำ
ข้อดีของการเพลาะไม้
เพิ่มความแข็งแรงของชิ้นงาน
การเพลาะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับไม้ โดยเฉพาะเมื่อใช้กาวและเทคนิคที่ถูกต้อง ช่วยลดโอกาสที่ไม้จะแตกหัก
ปรับขนาดไม้ได้ตามความต้องการ
ช่วยให้สามารถสร้างชิ้นงานขนาดใหญ่ขึ้นได้ แม้จะมีเพียงไม้ชิ้นเล็ก ๆ
ลดการสิ้นเปลืองไม้
การเพลาะไม้ช่วยนำเศษไม้หรือไม้ขนาดเล็กที่เหลือจากการผลิตมาประกอบรวมกัน ลดปริมาณของเสีย
เพิ่มความยืดหยุ่นในการออกแบบ
สามารถต่อไม้เป็นลวดลายต่าง ๆ เช่น การเพลาะไม้แบบลายขั้นบันไดหรือการต่อแบบสลับแนว
เพิ่มความสวยงามของชิ้นงาน
การเพลาะไม้ที่ดีจะทำให้ชิ้นงานดูเป็นธรรมชาติและเรียบเนียน โดยเฉพาะในงานตกแต่ง
ข้อเสียของการเพลาะไม้
ต้องใช้ความชำนาญและเวลา
กระบวนการเพลาะไม้ต้องการความละเอียดและประสบการณ์ หากทำผิดพลาด อาจเกิดปัญหาในชิ้นงาน
ความแข็งแรงขึ้นอยู่กับคุณภาพกาว
หากใช้กาวที่ไม่มีคุณภาพ การยึดติดของไม้จะไม่แข็งแรง และอาจทำให้ชิ้นงานแตกหักในอนาคต
โอกาสเกิดปัญหาไม้บิดงอ
หากไม้ที่นำมาเพลาะไม่ได้รับการอบหรือปรับความชื้นที่เหมาะสม อาจทำให้ชิ้นงานบิดงอเมื่อใช้งาน
ต้นทุนอุปกรณ์เพิ่มเติม
ต้องมีการลงทุนในเครื่องมือ เช่น เครื่องไสไม้ แคลมป์ หรือเครื่องขัดเพื่อให้ได้ชิ้นงานที่มีคุณภาพ
ความเสี่ยงต่อการเกิดรอยต่อ
หากการเพลาะไม้ไม่ได้ดำเนินการอย่างละเอียด อาจเกิดรอยต่อหรือช่องว่างระหว่างชิ้นไม้
วิธีลดข้อเสียของการเพลาะไม้
เลือกไม้ที่มีคุณภาพ: ควรใช้ไม้ที่ผ่านการอบแห้งและปรับความชื้นแล้ว
ใช้กาวที่เหมาะสม: เลือกกาวที่มีคุณสมบัติยึดติดแข็งแรง ทนต่อความชื้น
ใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ: เครื่องไสไม้และแคลมป์ที่เหมาะสมช่วยเพิ่มความแม่นยำ
ควบคุมสภาพแวดล้อม: ปรับอุณหภูมิและความชื้นในพื้นที่ทำงานเพื่อป้องกันไม้บิดงอ
การเพลาะไม้เป็นเทคนิคที่มีประโยชน์อย่างมากในงานไม้ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความสวยงามให้กับชิ้นงาน แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายในด้านความละเอียดและคุณภาพของวัสดุ การเตรียมตัวและเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมจะช่วยลดข้อเสียและเพิ่มประสิทธิภาพของการเพลาะไม้ได้อย่างมาก

ปัญหาที่พบบ่อยในการเพลาะไม้ และวิธีแก้ไข
การเพลาะไม้ เป็นเทคนิคที่ใช้ต่อไม้ชิ้นเล็กให้กลายเป็นแผ่นใหญ่ขึ้นหรือยาวขึ้น เพื่อใช้งานในงานโครงสร้างและงานตกแต่งต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม กระบวนการเพลาะไม้อาจเผชิญกับปัญหาหลายอย่างที่ส่งผลต่อคุณภาพและความแข็งแรงของชิ้นงาน ด้านล่างนี้คือปัญหาที่พบบ่อยในการเพลาะไม้ พร้อมวิธีแก้ไขที่มีประสิทธิภาพ
1. ไม้บิดงอหลังการเพลาะ
ปัญหา: ไม้ที่ไม่ได้ผ่านการอบแห้งหรือปรับความชื้นให้เหมาะสม อาจบิดงอหลังจากเพลาะ ทำให้ชิ้นงานเสียรูปทรง
วิธีแก้ไข:
ใช้ไม้ที่ผ่านการอบแห้งและปรับสมดุลความชื้นให้เหมาะสมก่อนการเพลาะ
เก็บไม้ในพื้นที่ที่มีความชื้นและอุณหภูมิคงที่
2. รอยต่อระหว่างไม้ไม่แนบสนิท
ปัญหา: เกิดช่องว่างระหว่างรอยต่อไม้เนื่องจากการตัดไม้ไม่เรียบหรือการใช้แรงกดไม่เพียงพอ
วิธีแก้ไข:
ตรวจสอบและเตรียมผิวไม้ให้เรียบและได้ระดับก่อนเพลาะ
ใช้แคลมป์หรืออุปกรณ์ยึดไม้ที่เหมาะสมเพื่อกดให้ไม้แนบสนิทระหว่างกระบวนการเพลาะ
3. กาวไม่ยึดติดแน่น
ปัญหา: กาวที่ใช้ไม่มีคุณภาพหรือใช้งานผิดวิธี ทำให้รอยต่อระหว่างไม้ไม่แข็งแรง
วิธีแก้ไข:
เลือกกาวที่เหมาะสมกับงาน เช่น กาวไม้สูตรกันน้ำหรือกาวโพลียูรีเทน
ทำความสะอาดพื้นผิวไม้ก่อนทากาว และปล่อยให้กาวเซ็ตตัวเต็มที่ตามคำแนะนำของผู้ผลิต
4. รอยต่อแตกหักเมื่อใช้งาน
ปัญหา: รอยต่อของไม้ไม่สามารถรับน้ำหนักหรือแรงกดได้เพียงพอ ทำให้เกิดการแตกหัก
วิธีแก้ไข:
ใช้เทคนิคการเพลาะที่เหมาะสม เช่น การต่อแบบเดือยหรือการใช้สกรูช่วยเสริมความแข็งแรง
เลือกไม้ที่มีความแข็งแรงและรองรับน้ำหนักได้ตามการใช้งาน
5. สีไม้และลายไม้ไม่เข้ากัน
ปัญหา: เมื่อเพลาะไม้จากชิ้นไม้ต่างชนิดหรือไม้ที่มีสีและลายแตกต่างกัน ชิ้นงานอาจดูไม่สวยงาม
วิธีแก้ไข:
เลือกไม้ที่มีสีและลายคล้ายกันก่อนเพลาะ
ใช้เทคนิคการย้อมสีไม้หรือเคลือบผิวหลังการเพลาะเพื่อให้ได้โทนสีที่สม่ำเสมอ
6. รอยกาวเลอะบนพื้นผิวไม้
ปัญหา: กาวที่ล้นออกมาจากรอยต่อในระหว่างการเพลาะ อาจทำให้เกิดคราบและทำความสะอาดยาก
วิธีแก้ไข:
ใช้กาวในปริมาณที่เหมาะสม และเช็ดกาวส่วนเกินออกทันทีด้วยผ้าชุบน้ำหมาด
หลังจากกาวแห้งสนิท ใช้กระดาษทรายขัดเบา ๆ เพื่อลบรอยกาว
7. ความแข็งแรงของชิ้นงานลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
ปัญหา: เมื่อใช้งานไปนาน ๆ ชิ้นงานอาจสูญเสียความแข็งแรงเนื่องจากกาวเสื่อมสภาพหรือการรับน้ำหนักมากเกินไป
วิธีแก้ไข:
ตรวจสอบและซ่อมแซมรอยต่อของไม้เป็นประจำ
ใช้วัสดุเสริมความแข็งแรง เช่น การติดเดือยหรือการใช้โครงสร้างช่วยพยุง
8. ขอบไม้ไม่เรียบหลังการเพลาะ
ปัญหา: หลังจากเพลาะ ขอบไม้บางส่วนอาจไม่เรียบเสมอกัน
วิธีแก้ไข:
ใช้เครื่องไสไม้หรือกระดาษทรายปรับผิวไม้ให้เรียบเนียน
ตรวจสอบความเรียบของไม้ระหว่างการเพลาะด้วยอุปกรณ์วัดระดับ
ปัญหาในการเพลาะไม้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น คุณภาพของไม้ เทคนิคที่ใช้ และการเลือกวัสดุเสริม แต่การแก้ไขด้วยวิธีที่เหมาะสมและการเตรียมตัวที่ดี จะช่วยลดปัญหาเหล่านี้และเพิ่มคุณภาพของชิ้นงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเพลาะไม้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสำหรับเพิ่มพื้นที่หน้าไม้ให้มีขนาดใหญ่และกว้างขึ้น จุดเด่นของการเพลาะไม้สามารถเลือกใช้งานได้ตามขนาดที่ต้องการไม่มีข้อกำหนด อีกทั้งสามารถเลือกโทนสีให้เข้ากับหน้างานหรือลวดลายไม้ที่ต่อกันให้เกิดความสวยงามมากขึ้น สำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านก่อสร้างงานอาคารบ้านเรือนได้ให้ข้อมูลไว้ว่า ถ้าหากนำไม้เก่ามาเพลาะจะได้ความแข็งแรงมากกว่าไม้ใหม่เพราะมีความแตกต่างกันที่ความชื้น ถึงไม้เก่าจะมีรอยขีดขวนหรือรอยตาปู ส่วนไม้ใหม่จะไม่มีรอยทำให้ลวดลายของไม้เด่นชัดสวยงามก็ตาม เมื่อนำไม้เก่าหรือไม้ใหม่ผ่านกระบวนการแปรรูปแล้วสามารถนำมาใช้งานได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับการนำคุณสมบัติของไม้ไปใช้งานถูกประเภทหรือไม่ อีกทั้งไม้จริงที่เก่ายาวนานจะมีวิธีการแปรรูปง่ายกว่าไม้ใหม่ และแถมยังไม่ต้องกังวลเรื่องศัตรูพืช
หมายเหตุ ร้านเราจะขายไม้เก่าไทย เช่น ไม้สัก ไม้มะค่า ไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้เนื้อแข็ง สามารถตรวจเช็คราคาได้ทางข้างล่าง
ตรวจสอบราคาสินค้า
จากบทความที่กล่าวมาข้างต้นสำหรับท่านใดที่กำลังต้องการไม้เก่าคุณภาพดีมาทำการเพลาะให้ได้พื้นที่มากขึ้น สามารถเลือกซื้อสินค้าจากทางร้าน TWOMENWOOD มีไม้ให้เลือกหลายเกรดหลายชนิดเต็มประสิทธิภาพ สำหรับท่านใดต้องการดูสินค้าด้วยตัวเอง เรามีหน้าร้านไม้เก่าอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี